ในที่สุด สส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 พรรคประชาชน (ปชน.) ก็ได้แถลงขอให้พรรคขับออกอย่างเป็นทางการ ที่รัฐสภา เจ้าตัวกล่าวว่า ลำบากใจที่จะมาขอยุติบทบาทกับพรรค ปชน. เพราะไม่อยากทำงานร่วมกับพรรคอื่นแล้วสังกัดอยู่ในพรรคเดิม อย่างนั้นคืองูเห่าชัดเจน จึงขอให้พรรคขับตนเองออก ปัญหาที่อยากยุติบทบาท เนื่องจากพรรคมีเป้าหมายเน้นสร้างพรรค สร้างกระแส ไม่ได้เน้นสร้างคนหรือมุ่งประโยชน์ของประชาชน ผลักดันเรื่องที่เป็นปัญหาในพื้นที่เข้าสู่พรรค แต่ก็ไม่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างที่ควร มีการพูดไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพในสถานะทางเพศ
“การลาออกจะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเลือกตั้งใหม่ ยังต้องการทำหน้าที่ สส. ประเด็นแตกหักคือการที่ตนอภิปรายแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระบรมราโชบายในการสร้างอ่างเก็บน้ำบนเกาะสีชัง ได้ขออนุญาตเป็นตัวแทนราษฎรในการเข้าเฝ้าฯ และขอให้กระทรวงมหาดไทยทำงบประมาณเพื่อวางท่อประปาต่อน้ำจากเกาะสีชังเพื่อไปยังอ่างเก็บน้ำ แต่เมื่อหารือจบก็มี สส.คนหนึ่งมาต่อว่า

พรรคต่อว่าเนื่องจากเพื่อน สส.ส่วนมากไม่พอใจกับสิ่งที่หารือในวันนั้น เพื่อน สส.ไม่กล้าคุยด้วยนาน ๆ เพราะกลัวว่าจะเป็นการวางตัวไม่เหมาะสม กลัวพรรคไม่ส่งลงสมัครในครั้งต่อไป และยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่อยากอธิบาย ดิฉันไม่ได้เข้ามากอบโกยอะไร ไม่เคยตัดเงินจากพรรคมาทำกิจกรรมในพื้นที่ เคยมีความหวังว่า พรรคจะเป็นความหวังเดียวที่เปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วกลับผลักดันอะไรไม่ได้ จึงผิดหวังมาก และขอยุติบทบาทในพรรค”
ส่วนประเด็นที่เลือกพรรคกล้าธรรม เพราะได้ประสานงานเรื่องอ่างเก็บน้ำกับรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งได้รับการตอบรับจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ คนชลบุรีมองว่าการเปิดอ่างเก็บน้ำสำคัญ วันนี้จะไปขอใบสมัครพรรคกล้าธรรมไว้ก่อน เพื่อรอการขับออกจากพรรค ปชน. ส่วนกระแสข่าวที่มีการเสนอเงิน 55 ล้านบาท เงินเดือน 250,000 บาทและรถตู้หรูนั้น ขอให้ไปถามคนที่พูดออกมา ส่วนการเลือกตั้งสมัยหน้าก็เอาไว้ค่อยว่ากัน

ในการแถลงข่าว แฟนคลับพรรค ปชน. รุมต่อว่า น.ส.กฤษฎิ์ อย่างรุนแรง ทำนองว่า ประชาชนเลือก น.ส.กฤษฎิ์ในนนามพรรค พรรคไม่ใช่ที่ชุบตัวเพื่อมาเอาผลประโยชน์ ด่าถึงขั้นเป็น สส.ขายตัวไม่มีศักดิ์ศรี และอีกหลายเรื่อง ช่วงท้ายการแถลงข่าว น.ส.กฤษฎิ์ ได้เลี่ยงการเผชิญหน้ากับกลุ่มด้อมส้ม โดยการหลบเดินออกทางประตูข้างห้องแถลงเชื่อมขึ้นไปยังบนอาคารรัฐสภาทันที ทำให้ด้อมส้มที่วิ่งไปดักบริเวณทางออกอีกทางโมโห ตะโกนด่า สาปแช่ง
ต่อมา “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ “เอิร์ธ” ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรค และ “เนม” สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี ร่วมกันแถลงตอบโต้ น.ส.กฤษฎิ์ โดยนายปกรณ์วุฒิยืนยันสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ของ น.ส.กฤษฎิ์มาโดยตลอด ไม่ได้เหยียดเพศ สส.หรือใครก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ที่ น.ส.กฤษฎิ์ หารือในที่ประชุมสภาตามที่อ้างนั้น มีการไปคุยกับ น.ส.กฤษฎิ์ จริงหลังการหารือ แต่ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหา เพราะสิ่งที่เพื่อน สส.ไม่พอใจคือ เวลาปรึกษาหารือ 2 นาทีควรจะเป็นเวลาที่มาสะท้อนปัญหาของส่วนรวม ไม่ใช่พูดความต้องการส่วนตัว ซึ่งไม่ได้ลงโทษอะไร

หัวหน้าเท้งยืนยันว่า พรรคไม่ได้มีกระบวนการใดๆ ที่ใช้อำนาจให้ น.ส.กฤษฎิ์ อึดอัดใจหรือเป็นอุปสรรคในการทำงานตามที่เขาได้แถลงไป แต่การจะให้ขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ต้องมีเงื่อนไขเดียวคือต้องทำผิดทางวินัย ซึ่งพรรคไม่เคยถือว่าการกระทำของเขาเป็นความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการวินัยพรรค พรรคขอใช้อำนาจตามกฎหมายที่มี โดยยื่นไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้อำนาจตีความให้กับพรรค ว่าหนังสือขอให้ขับออกถือเป็นหนังสือลาออกหรือไม่
“ถ้าได้รับการตีความว่าไม่ได้เป็นหนังสือลาออก ก็จะไม่มีการขับ หรือทำตามความต้องการเพื่อประโยชน์กับพรรคกล้าธรรม แต่จะตัดสิทธิทุกอย่างที่พึงมีของ น.ส.กฤษฎิ์ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใน กมธ.หรือการทำงานใด ๆ ในโควตาพรรคในอนาคต วันที่ 18 พ.ค.นี้ ผมจะลงพื้นที่พร้อม สส.ชลบุรีทุกเขต เพื่อยืนยันกับประชาชนว่าพวกเราพร้อมที่จะเดินหน้ารับใช้ประชาชนทุกเขต รวมทั้งเขต 6 มอบหมายให้ สส.เนม สหัสวัต ดูแลแทน หลังจากที่ฟังคำแถลงเหตุผลของ สส.กฤษฎิ์แล้วก็พบว่าทุกอย่างไม่เป็นความจริง พรรคเปิดกว้างให้มามากเพียงพอแล้ว”

ด้าน “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์ จะมีคนจากอีกหลายพรรคตามมาร่วมพรรคกล้าธรรมด้วย จึงขอเชิญชวน แต่ไม่ทราบว่าจะมี สส.ปชน.ตามมาอีกหรือไม่ และเรื่องมีคนเพิ่ม ไม่เกี่ยวกับการต่อรองโควตาเก้าอี้รัฐมนตรี
“รมช.เฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ตอบคำถามถึงกระแสข่าวจะย้ายพรรค ว่า วันข้างหน้าไม่สามารถบอกได้ เพราะเราดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตัวเองย้ายมาทุกพรรคแล้ว ตั้งแต่ปี 54 ก็พรรคหนึ่ง ปี 62 ก็พรรคหนึ่ง ปี 66 ก็อีกพรรคหนึ่ง เราไม่สามารถบอกได้ เพราะจะเป็นคำพูดที่มัดตัวเรา เราต้องยอมรับว่า เราไปอยู่ตรงไหนที่คิดว่าเราทำงาน และมีความสุขก็ไปอยู่ตรงนั้น
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยความคืบหน้าคดีฮั้ว สว. ว่า รายงานการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ พบว่ามีกลุ่มเป้าหมายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องของเส้นทางการเงิน หรือเป็นบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัย ประมาณ 1,200 ราย จึงเล็งเห็นว่าจะต้องมีการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน ขณะนี้ได้มีการสอบสวนปากคำไปแล้วประมาณ 70 ราย
“1,200 รายนี้เป็นเรื่องของการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งท้ายสุดอาจจะมีเพียงบางส่วนที่จะถูกพิจารณาว่ามีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน เนื่องจากต้องมาพิจารณาเป็นรายบุคคล และต้องดูเหตุอย่างอื่นประกอบ”

อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายเนติธร หลินหะตระกูล ทนายความ รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม กับว่าที่นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข จากกรณีที่ประชุมแพทยสภา มีมติลงโทษ 3 แพทย์ คดีจริยธรรมที่เกี่ยวกับ “อดีตนายกฯ แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
นายเนติธร กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อนายกสภาพิเศษเพื่อให้ทบทวนในคำสั่งของแพทยสภา พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เกิดความไม่สบายใจที่ได้เห็นข่าวจากสำนักต่างๆ ที่กระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์
ว่าที่นายกองตรี ดร.ธนกฤต กล่าวว่า หลักๆ เป็นการโต้แย้งกรณีที่อุปนายกแพทยสภา คนที่หนึ่ง ระบุว่า ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่ามีอาการป่วยวิกฤติ โดย พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ระบุถึงการรักษา วินิจฉัยตามเวชระเบียนที่มีอยู่ การพิจารณาว่าผู้ป่วยวิกฤติหรือไม่ในช่วงเวลานั้น เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ผู้ป่วยอาจอาการดีขึ้นตามลำดับ ผู้ร้องจึงมาขอความเป็นธรรม ส่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษนำไปประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม
สำหรับการพิจารณาดำเนินการตามมติแพทยสภา จะมีกรอบเวลาดำเนินการภายใน 15 วัน ซึ่งจะเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาช่วยพิจารณาข้อมูลต่างๆ เป็นการตั้งขึ้นมาส่วนตัว รมว.สาธารณสุข จะเปิดเผยชื่อบุคคลเร็วๆ นี้

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แพทยสภามีมติสั่งลงโทษแพทย์ 3 คนกรณีการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ในส่วนการคุมขัง มั่นใจว่ากระทรวงยุติธรรมได้ทำตามกฎหมาย กรณีผู้ต้องขังป่วยโรคเฉพาะทาง ต้องใช้หลักที่ว่าหากเป็นโรคที่สถานพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพในการรักษา ก็จะส่งไปรักษาโรงพยาบาลภายนอก โรงพยาบาลถือเป็นที่คุมขังสถานที่หนึ่ง

“นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์เรื่องพ่อแม้วว่า ยังไม่มีคนในแพทยสภาคนใดออกมาพูดว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่จริง นายทักษิณก็เตรียมจะชี้แจงตามข้อเท็จจริง ตนก็ชี้แจงได้ เพราะพูดมาตลอดว่านายทักษิณอายุมากแล้ว ป่วยเป็นโควิต-19 ตั้งแต่ก่อนกลับมาประเทศไทย ช่วงที่อายุ 72 ปี ก็ไม่สบายหนัก มีประวัติการป่วยอยู่แล้วตั้งแต่รักษาที่ต่างประเทศ ที่โจมตีว่าป่วยทิพย์ เราชี้แจงตามข้อเท็จจริง แต่ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้ เรื่องชั้น 14 เริ่มและจบลงก่อนตนเป็นนายกฯ แต่ก็มีหลายฝ่ายพยายามทำให้เข้าใจผิดว่าตนเข้าไปยุ่งกับกระบวนการ ได้เจอกับนายทักษิณเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ได้คุยกันว่าจะไปชี้แจงศาลในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ เรื่องแพทยสภาก็ชี้แจงกันต่อไป
นายกฯ ปฏิเสธกระแสข่าวยุบสภา ยืนยันเสถียรภาพรัฐบาล และยังกล่าวถึงความคืบหน้าเจรจากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ส่งข้อเสนอให้สหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว และมีตัวแทนจากหลายภาคส่วนคุยกันหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) หรือระดับของรัฐมนตรี พวกเราคุยนอกรอบ
เมื่อถามถึงการที่ศาลไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ แม้วไปกาตาร์ ซึ่งจะได้พบโดนัลด์ ทรัมป์ นายกฯ อิ๊งค์ กล่าวว่า “เสียดายโอกาสที่เราจะสามารถคุยกับคอนเนกชั่นที่ค่อนข้างใกล้และตรงกับทางประธานาธิบดีได้เลย ทรัมป์และคุณพ่อรู้จักกัน ตอนที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกเคยได้พบเจอกันและพูดคุยกัน ส่วนเรื่องที่สหรัฐ เคยมีการประกาศนโยบายข้อจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยจากกรณีอุยกูร์ เรื่องยกเลิกมาตรการแล้วหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจ ขอตรวจสอบอีกครั้ง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ปกติก็เข้าไปคุยกันได้หมด”
ทีมข่าวการเมือง