เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 15 พ.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาลเวียดนาม กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในโอกาสเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ โดยมีนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นเจ้าภาพทั้งนี้ ก่อนเริ่มงานเลี้ยง นายกฯเวียดนามได้นำน.ส.แพทองธาร เยี่ยมชมนิทรรศการหัตถกรรมท้องถิ่นของเวียดนาม รวมถึงของที่ระลึกจากทั้งสองฝ่ายซึ่งจัดแสดงบริเวณทางเข้างาน 

จากนั้นน.ส.แพทองธาร ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวที แสดงความยินดีและขอบคุณรัฐบาลเวียดนามที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งนายกฯเวียดนามเป็นผู้นำคนแรกที่ได้โทรศัพท์แสดงความยินดี  ต้องขอบคุณอีกครั้ง การเยือนครั้งนี้ เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนการประชุมนายกฯและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ(เจซีอาร์)ไทย -เวียดนามครั้งที่ 4 ในวันที่ 16 พ.ค.นี้ เป็นโอกาสครบรอบ 20 ปีของกลไกพิเศษที่ไทยมีเฉพาะกับเวียดนาม และเวียดนามก็มีกลไกนี้เฉพาะกับไทยเท่านั้น อีกทั้งยังแสดงความยินดีที่ไทยและเวียดนามจะยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านในระหว่างการเยือนครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ในด้านเศรษฐกิจ การค้าระหว่างไทยกับเวียดนามขยายตัวกว่า 20 เท่าในรอบ 30 ปี และไทยเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ในเวียดนาม ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศเดียวในโลกนอกเหนือจากเวียดนามที่มีอนุสรณ์สถานของประธานโฮจิมินห์ถึง 3 แห่ง ที่จังหวัดอุดรธานี นครพนม และพิจิตร สะท้อนความผูกพันธ์ทางประวัติศาสตร์ พร้อมแสดงความยินดีที่ละครไทยได้รับความนิยมในเวียดนามอย่างมาก ทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเวียดนามกว่า 1 ล้านคน ในปีที่ผ่านมา ขณะที่คนไทยกว่า 5 แสนคนก็เดินทางท่องเที่ยวเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมืองเว้ ดานัง ดาลัด และซาปา

ในช่วงท้าย น.ส.แพทองธาร กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ และคณะรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทย เพื่อร่วมชมการแข่งขันนัดชิงเหรียญทองฟุตบอลชาย หากไทยและเวียดนามพบกันในรอบชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพช่วงปลายปีนี้ พร้อมกล่าวเชิญชวนแขกผู้มีเกียรติร่วมดื่มอวยพรแด่ผู้นำเวียดนาม และเพื่อความสัมพันธ์และมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศสืบไป.