เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นายจำเนียร ดายครบุรี” ผู้ใหญ่บ้านใหม่จอมทอง หมู่ 11 ต.จระเข้หิน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา และผู้นำชุมชน ได้เข้าตรวจสอบบริเวณคอกกระบือของชาวบ้าน ที่อยู่ริมลำน้ำมูลที่ไหลลงสู่เขื่อนมูลบน ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน หลังจากที่ได้รับแจ้งจาก “นางพยุง” วัย 50 ปี เจ้าของคอกกระบือ ได้พบเศษชิ้นส่วนคล้ายโครงกระดูกมนุษย์ และเศษเครื่องปั้นดินเผาโบราณโผล่ขึ้นมาจากดิน หลังจากเกิดน้ำไหลหลากจนกัดเซาะผืนดินบริเวณนั้น

โดยจากการตรวจสอบด้วยสายตา เบื้องต้นพบมีเศษชิ้นส่วนที่คล้ายโครงกระดูกของมนุษย์ มีลักษณะที่แตกหัก รวมทั้งชำรุดเสียหาย ได้กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ จากการสังเกตพบว่าเป็นดินลูกรังสีขาว อยู่ติดกับลำน้ำมูลที่ไหลลงสู่เขื่อนลำแชะ ในลักษณะเป็นตลิ่งสูงกว่า 5 เมตร มีร่องรอยน้ำหลากกัดเซาะตลิ่ง และมีเศษชิ้นส่วนโครงกระดูกโผล่พ้นดินอยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 1 เมตรเศษ ซึ่งพอจะระบุรูปร่างลักษณะคล้ายกะโหลกศีรษะมนุษย์ 3 จุด โดยมีอยู่ 2 จุดที่อยู่ติดกัน แต่อีกจุดอยู่ห่างไปประมาณ 1.5 เมตร แต่ทั้ง 3 หัว มีร่องรอยถูกน้ำกัดเซาะ จนทำให้แตกออก แต่ก็ยังเหลือเค้าโครงของกะโหลกศีรษะ พร้อมกับมีเศษชิ้นส่วนอื่นๆ ที่แตกหักกระจายทั่วบริเวณ ซึ่งลักษณะหัวกะโหลกศีรษะทั้งหมด ได้หันไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังพบเศษชิ้นส่วนคล้ายกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งมีทั้งสีแดงและสีดำกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ในรัศมี 10 เมตรด้วย

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนางพยุง เผยว่า “เมื่อหลายวันก่อนเกิดมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ซึ่งจะมีน้ำไหลหลากจากพื้นที่ด้านบน ผ่านมาบริเวณคอกกระบือ ที่มีอยู่รวม 9 ไร่ และได้ไหลกัดเซาะหน้าดินบริเวณนี้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ขณะที่ตนเดินสำรวจคอกวัว ก็พบเข้ากับเศษโครงกระดูก จึงรีบแจ้งให้ทางผู้ใหญ่บ้าน ได้เข้ามาตรวจสอบจุดดังกล่าว อีกทั้ง จุดนี้เป็นจุดที่มีหญ้าขึ้นค่อนข้างรก แต่หลายปีผ่านมา ตนนำกระบือมาเลี้ยงไว้หลายสิบตัว จนหญ้าถูกกระบือกัดกินจนเตียน ประกอบกับฝนตกหนัก จึงทำให้บริเวณนี้มองเห็นได้สะดวก และเมื่อช่วงฝนตกแรกๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีเรือของชาวบ้านผูกเอาไว้ริมตลิ่งด้านบน ถูกน้ำซัดมาจมอยู่บริเวณนี้ และสามารถเก็บกู้มาได้ถึง 4 ลำ จึงทำให้บริเวณนี้มีคนเดินผ่านเพิ่มขึ้น กระทั่งมาพบโครงกระดูกดังกล่าวในที่สุด”

เบื้องต้น ทางผู้ใหญ่บ้านใหม่จอมทอง ได้เก็บภาพและรวบรวมข้อมูลต่างๆ รายงานไปยังทางอำเภอครบุรี เพื่อให้ช่วยประสานทางเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบ เพื่อดูว่าโครงกระดูกชุดนี้ จะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา ก็พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ พร้อมเครื่องปั้นดินเผาที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นที่ หลังจากที่ถูกน้ำหลากกัดเซาะ ที่ท้ายบ้านไร่แหลมทองพัฒนา หมู่ที่ 12 ต.ลำเพียก อ.ครบุรี เช่นเดียวกัน และเมื่อทางเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรที่ 10 จ.นครราชสีมา ลงพื้นที่ตรวจสอบก็สันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นโครงกระดูกมนุษย์ ที่มีอายุอยู่ในช่วงราว 1,500-3,000 ปีก่อน เก็บกู้กลับไปตรวจสอบแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า กระดูกที่พบบริเวณนี้ อาจจะเป็นโครงกระดูกที่อยู่ในช่วงยุคสมัยเดียวกัน เพราะพบร่องรอยการฝังโครงกระดูกมนุษย์ในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว พร้อมกับของอุทิศประเภทภาชนะดินเผา หันศีรษะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสัมพันธ์กับร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในช่วงอายุประมาณ1,500-3,000 ปี ซึ่งเป็นช่วงก่อนการรับพุทธศาสนาในดินแดนประเทศไทย