เมื่อวันที่ 29 พ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมามอบนโยบายในการสรุปผลการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามมาตรการ Seal Stop Safe ของรัฐบาลในรอบ 2 เดือน ตั้งแต่ เม.ย.-พ.ค. 68 ทั้งนี้ยังมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมเจ้าหน้าที่ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

โดยก่อนการให้นโยบาย น.ส.แพทองธาร ได้ชมนิทรรศการ และรายงานผลการสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติด ตลอดช่วงเดือน เม.ย. ถึงปัจจุบัน หลังจากการเปิดปฏิบัติการ SEAL-STOP-SAFE ซึ่งกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เดินหน้า ปิดล้อม-บุกจับ-ขยายผล-ยึดทรัพย์ เครือข่ายรายสำคัญได้กว่า 31 คดี ผู้ต้องหา 34 คน ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด เฮโรอีน 126 กิโลกรัม ไอซ์และเคตามีน 4,443 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท

ต่อมา น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยช่วงต้นกล่าวว่า “ไอแพดมีความจำเป็นเพราะว่าต้องดูชื่อตำแหน่งของแต่ละท่าน” และวันนี้ขอบคุณความร่วมมือตั้งแต่มีมาตรการ Seal stop safe ของรัฐบาลประมาณ 3 เดือนครึ่ง เห็นได้ชัดว่าทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ทำให้เกิดผลสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมให้ประชาชนได้เห็น

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า สมัยของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ปราบยาเสพติดได้สำเร็จ จะมีจำนวนหนึ่งที่มีแหล่งผลิตอยู่ในประเทศไทย แต่ตอนนี้ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน และมีกำลังการผลิตมากขึ้นมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งทุกวันนี้สามารถสกัดกั้นและปราบปรามได้เยอะมาก ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และผู้ที่แจ้งเบาะแสทำให้เราสามารถจับกุมปราบปรามยาเสพติดได้มากขนาดนี้ และแน่นอนว่าตอนนี้เราต้องเร่งเครื่องที่จะทำเรื่องนี้ต่อไป เพื่อให้ประเทศพัฒนาให้ก้าวหน้า เพราะยาเสพติดเป็นปัจจัยที่กีดขวางทำให้ลูกหลานต้องติดยาครอบครัวมีความทุกข์ บางครอบครัวมีการฆ่ากันจนเสียชีวิต และที่สำคัญอยากให้ทุกคนเปิดใจยอมรับผู้ที่ติดยาเสพติดกลับเข้ามาในสังคม เราจะให้โอกาสและมีแผนของการฟื้นฟู เพื่อให้เขาคืนกลับคืนสู่สังคมได้เริ่มต้นใหม่ ประชาชนที่รับฟังต้องให้โอกาสทุกคนที่อยากเริ่มต้นใหม่ ที่พวกเขาจะเป็นคนที่สะอาดไม่มียาเสพติด และต้องขอขอบคุณอีกครั้ง ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ทำให้การปราบปรามยาเสพติดในตอนนี้เกิดผลสำเร็จอย่างมาก

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ไม่ว่าการปราบปรามทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เรารู้แผนและเตรียมการเพื่อจะสกัดกั้น และขอให้ทุกท่านมั่นใจว่ารัฐบาลจะสนับสนุนทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี งบประมาณในการปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากประเทศ และขอให้ทุกคนทราบเมื่อรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ก็ต้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และต้องให้ประชาชนให้กำลังใจทุกคนเสียสละ เชื่อว่าทุกคนทำงานอย่างหนักหน่วงและเหนื่อยมาก อยากให้มีความเข้มแข็ง มีกำลังใจในการทำงานและขอให้ทำงานอย่างปลอดภัย เพราะการทำงานแบบนี้มีความเสี่ยง ขอให้มีกำลังใจที่ดี และขอให้ประชาชนเข้าใจเห็นใจ เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศ

สำหรับผลการสกัดกั้นและขยายผลการปราบปรามยาเสพติดในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา มีคดีที่สำคัญ เช่น การสกัดกั้นในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ 10 คดี สามารถจับกุม ผู้ต้องหา 17 คน ตรวจยึดของกลาง ยาบ้ากว่า 29.93 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 70 กิโลกรัม, ไอซ์และเคตามีน 2,476 กิโลกรัม การสกัดกั้นจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ไอซ์ 697 กิโลกรัม การสกัดกั้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้ผ่านไปยังประเทศที่ 3 พบ 4 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ของกลาง ไอซ์ 1,132 กิโลกรัม การสกัดกั้นลักลอบลำเลียงยาเสพติด ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ได้แก่ ออสเตรเลีย, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และกินี ตามโครงการ AITF 15 คดี ของกลาง ไอซ์ 137.68 กิโลกรัม และเฮโรอีน 57.26 กิโลกรัม

โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลได้เปิดปฏิบัติการ SEAL-STOP-SAFE ตำรวจได้เพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นจับกุมในพื้นที่ชายแดน โดยให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการบุกจับเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายสำคัญ และสกัดเส้นทางลำเลียงอย่างเด็ดขาด พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ทำให้มีผลการจับกุมและยึดทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทุกมิติ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 67 และผลการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ 68 โดยมีการปิดล้อมตรวจค้น 25,745 เป้าหมาย, 6,549 เครือข่าย จับกุมผู้ค้ารายย่อย 34,563 คน ยึดยาบ้า 152 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,335 กิโลกรัม, อาวุธปืน 1,798 กระบอก, ระเบิด 4 ลูก และยึดทรัพย์สิน 2,795 ล้านบาท จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทุกข้อหาทั่วประเทศ 158,832 คดี ผู้ต้องหา 157,881 คน จับกุมตามหมายจับ 3,899 คน ดำเนินคดีข้อหาสมคบ สนับสนุน 2,338 คดีข้อหาฟอกเงิน 181 คดี ของกลางยาเสพติด ยาบ้า 645.93 ล้านเม็ด, ไอซ์ 34,223 กก., เฮโรอีน 938 กก., เคตามีน 4,471 กก. และยาอี 271,329 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 8,064 ล้านบาท พร้อมทั้งได้สั่งการให้ขยายผลถึงระดับเครือข่ายและผู้สั่งการ