เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 68 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันที่ 2 นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตนขอเน้นไปที่กลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลไว้ประมาณ 7,000,000 คน ทั่วประเทศ ขณะนี้มีปัญหาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปุ๋ย ยา และสารเคมีทางการเกษตรราคาสูงมาก แต่ผลผลิตต่ำกว่าราคาขาย ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ภาคการเกษตรถือว่าเป็นกลุ่มคนครึ่งหนึ่งของประเทศ ถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ลำบาก เศรษฐกิจฐานรากก็จะไม่มั่นคง และถ้าในปี 2569 การแก้ปัญหาเกษตรไม่เป็นที่ประจักษ์ ชีวิตของเกษตรกรก็จะลืมตาอ้าปากไม่ได้ รัฐบาลควรแก้ปัญหาโครงสร้างให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน วันนี้หากเราดูที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ที่มีฐานการส่งออกข้าวเป็นคู่แข่งกับไทย จะเห็นว่าศักยภาพการเพาะปลูกมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น ทั้งผลผลิตและราคาทำให้ตลาดโลกยอมรับ ส่วนเวียดนามมีการปลูกอ้อย นำเครื่องจักรที่ทันสมัยมาใช้และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย
“คำแถลงของนายกรัฐมนตรี ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 394,611.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.5 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพ และยั่งยืน นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องการยกระดับสินค้าภาคเกษตรให้สูงขึ้น แต่การดำเนินที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจน ทำได้แค่นี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการจัดนิทรรศการภาคเกษตร ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งที่งบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ ในปีนี้ก็สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่รัฐบาลเอาเกษตรกรรายย่อยไปทิ้งที่ไหน ตรงนี้คือปัญหาที่ สส. พรรคของเรามีความเป็นห่วงประเทศ เมื่อประเทศเพื่อนบ้านขยับ แต่ไทยยังย่ำอยู่กับที่ หลายประเทศลงทุนในเรื่องการสร้างโครงสร้างการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ” นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้งบประมาณกรมชลประทาน ดูไม่เพียงพอในการบริหารและพัฒนาจัดการน้ำ เช่นเดียวกับ กรมพัฒนาที่ดิน การตรวจสภาพพื้นดินรวมทั้งธาตุอาหารในดินงบประมาณเพียงพอ และแนวทางในการปรับปรุงบำรุงดินให้เหมาะสม ทำให้เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยเคมีเข้ามาช่วย ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เวลาขายก็ขายไม่ได้ ก็จะมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ ดังนั้นก็จะวนเวียนเป็นปัญหาตลอดไป ตนมองไม่ออกว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ถ้างบประมาณในปี 2569 ไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้ เพราะขณะนี้เกษตรกรมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ตนคิดว่าแนวทางในการแก้ไขในปีนี้ รัฐบาลควรมีหลักในการประกันรายได้ที่จับต้องได้ ครอบคลุมและเข้าถึงเกษตรกรทั่วประเทศ เพราะขณะนี้การกระจายของที่ดินที่ไม่เป็นธรรม และในอนาคตเกษตรกรรายย่อยก็จะถูก ธ.ก.ส. ยึดที่ดินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปทั้งหมด งบประมาณปี 2569 นี้ ต้องไม่ใช่แค่งบประคับประคอง แต่ต้องเป็นงบที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเกษตรกรได้ ถึงเวลาที่เราจะเลิกใช้แนวทางแจกเป็นปี ช่วยเป็นช่วง และหันมาวางรากฐานแบบระยะยาวอย่างถาวร หากไม่ลงทุนในโครงสร้างเช่น น้ำ เทคโนโลยี พันธุ์พืช และที่ดิน เราก็ยังคงติดกับดักเกษตรรายย่อย รายวันไปอีกนาน
“พรรคพลังประชารัฐ จะไม่ยอมให้เกษตรกรวนเวียนอยู่กับความเสี่ยง ความยากจน ไร้อนาคต เราจะเป็นปากเสียงแทนชาวนา เรียกร้องงบประมาณอย่างเป็นธรรม โปร่งใส เพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่อย่างมั่นคงยั่งยืน ถ้าเกษตรกรกว่า 30 ล้านคนอยู่ได้ ประเทศก็อยู่ได้ และมั่นคงแข็งแรงทุกมิติ” นายอนันต์ กล่าว.