พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อยู่ในภาวะกำลังจะแตก “เฮียเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ส่งสัญญาณพาเพื่อนย้ายพรรค เรื่องนี้ เฮียเฮ้งไปให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ว่า ที่ว่าพวกเขาราว 20 คนจะย้ายไปพรรคโอกาสใหม่หรือไม่ ก็ยังพูดแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ได้บอกในแนวทางของตัวเองว่า ถ้าเราไปตรงอื่นแล้วสามารถทำประโยชน์หรือสามารถแสดงออกทางความคิดต่างๆ ได้ ก็คิดว่าไป 20 คน ที่เชิญมา คงไม่ถึงกับมีปัญหาทางใจกับพรรค รทสช. สำหรับตนเองแล้ว ถ้าอยู่ไม่ได้หรือคิดว่าไม่เหมาะสมกับตัวเองก็ออกมาดีกว่า

“การที่เชิญเพื่อนๆ ทั้ง 20 คนมาหารือ ก็เกิดจากตัวผมเองที่คิดว่าวันหนึ่ง ผมคงต้องไปทำการเมืองในพรรคใหม่ที่ผมคิดว่าเหมาะสมกับผม ก็ต้องถามเพื่อนๆ เพราะผมชวนเขามา (คาดว่าหมายถึงเชิญมาจากพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร.) ผมก็ต้องรับผิดชอบ มี 80-90% ตัดสินใจมา 5-6 เดือนแล้ว การจะไปที่ใหม่เพราะเราคิดว่าสามารถเติมเต็มนโยบาย หรืออะไรที่สามารถทำให้กับประเทศชาติบ้านเมืองได้มากกว่านี้ หรือพวกผมสามารถที่จะเข้าไปกำหนดนโยบายอะไรต่างๆ ได้ โดยเป็นแบบเติมน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ไม่ใช่เป็นน้ำเต็มแก้ว เติมอะไรเข้าไปไม่ได้มีแต่ล้น” นายสุชาติกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า 80-90% คือความเห็นผู้ที่เข้าร่วมรับประทานอาหารหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า “ถูกต้อง แต่ด้วยมารยาทแล้วเขาสังกัดพรรคการเมืองอยู่มันพูดไม่ได้ ถ้าพูดแล้วจะถูกเอาไปตีความว่ายังเป็น สส.อยู่ หากพูดออกมาเช่นนี้แปลว่าไม่อยากเป็น สส.แล้วอย่างนั้นหรือ อาจจะนำไปสู่การเลือกตั้งซ่อม แต่มาด้วยกัน มันก็ต้องไปด้วยกัน ดูตัวอย่างนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี ก็เป็นคนบ้านเดียวกันแล้วจะทิ้งกันได้อย่างไร ที่นายจิรวุฒิออกมาปฏิเสธไปแล้วนั้นก็ต้องย้ำว่า โดยมารยาทแล้วก็ต้องพูดไปอย่างนั้น”
“ถ้าจำเป็นที่ต้องให้ผมแสดงพลังจริงๆ พรรคสามารถทำหนังสือขับพวกผมไปอยู่พรรคอื่นได้หรือไม่ แล้วจะทำให้ดูว่าจะมีทั้งหมดกี่คน แต่ไม่อยากให้ทำอย่างนั้น 1-2 เดือนที่ผ่านมา พวกเรารอคำตอบจาก “หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าพรรคจะไปอย่างไร ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง (นายพีระพันธุ์อยู่ระหว่างถูก ป.ป.ช.สอบเรื่องแจกของบริจาคน้ำท่วมโดยติดสติกเกอร์รูปตัวเอง) อย่างที่มีการร้องเรียนกันมาจะทำอย่างไร กลับไม่มีคำชี้แจง โครงสร้างต่อไป จะกลายเป็นกลุ่มแบบไหนหรือพวกเราจะเข้าไปมีสิทธิในการบริหารจัดการ หรือเพิ่มเติมอะไรได้หรือไม่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าตุ๋ยก็เดินเกมแก้ข้อบังคับพรรค มีผลบังคับใช้และประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 29 พ.ค. 2568 แก้ข้อ 53 ระบุว่า สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง เมื่อผู้นั้นขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคในกรณี…. โดยมีสาระสำคัญใน (6) ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นหรือสนับสนุนผู้สมัครในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ที่ไม่ใช่ของพรรคการเมือง (7) กระทำการใดที่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือความเป็นเอกภาพในพรรคการเมือง หรือการบริหารพรรคการเมือง รวมทั้งสนับสนุนหรือส่งเสริมการกระทำเช่นว่านั้น
กรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ ยังเป็นกลุ่มของนายพีระพันธุ์ ประกอบด้วย 1.นายพีระพันธุ์ 2.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 3.นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง 4.นายวิทยา แก้วภราดัย 5.นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ 6.นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร 7.นายชื่นชอบ คงอุดม 8.นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ และ 9.นายเกรียงยศ สุดลาภา
การออกข้อบังคับเช่นนี้ น่าจะเพื่อเตรียมการ “ลงดาบจริง” หากกลุ่มเฮียเฮ้งยังแสดงท่าทีฝักใฝ่พรรคอื่นอีกครั้ง ก็อาจต้องงัดมาใช้ แต่ก็ถูกขู่สกัดไว้แล้วว่า จะมี สส.ออกตามไปอีกหลายคน จึงน่าจับตาว่า รทสช.จะแตกหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งว่า คณะไต่สวนคดีของสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ส่งหมายเรียกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ครั้งที่ 2 ในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหากรณีการแจกถุงยังชีพ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมที่ได้รับการสนับสนุนถุงยังชีพมาจากบริษัทเอกชน แต่มีการติดสติกเกอร์ชื่อของตนเองข้างถุงด้วย ก่อนหน้านี้ ทางสำนักงาน ป.ป.ช. ได้เรียกนายพีระพันธุ์เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พ.ค. แต่นายพีระพันธุ์เดินทางไปยังประเทศลาว แล้วยังมีการให้ข้อมูลว่า การออกหมายเรียกดังกล่าวไม่เป็นไปตามกฎหมาย บอกว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ยอมรับว่าส่งเอกสารผิดพลาดจริง
“สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ออกเอกสารชี้แจงว่า ยืนยันว่าคณะกรรมการไต่สวน ได้ส่งหนังสือเชิญไปยังนายพีระพันธุ์ ตามที่อยู่ที่ปรากฏในทะเบียนราษฎรทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ มีใบตอบรับไปรษณีย์ส่งกลับมายังสำนักงาน ป.ป.ช. การส่งหนังสือของคณะกรรมการไต่สวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ยอมรับว่ามีความผิดพลาดในการส่งหนังสือเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง”

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค ประกาศทวงคืนพรรค รทสช. และขับไล่นายพีระพันธุ์ ออกจากตำแหน่งว่า “ขอไล่หัวหน้าออกไป ท่านไม่สง่างาม ขอให้คนอื่นที่เหมาะสมกว่านี้มาเป็นหัวหน้าพรรค หลายเรื่องที่โดนร้อง ข้อมูลค่อนข้างน่าเชื่อถือ ก็ไม่เคยออกมาชี้แจงความจริง ผมในฐานะคนก่อตั้งพรรค เมื่อมาขอพรรคผมไปดูแล แต่ทำได้ไม่ดี สส.ในพรรคบ่นมาว่าไม่มีความอบอุ่นเลย มีแต่แตกแยก แตกความสามัคคี หัวหน้าพรรคเข้าถึงยาก ความคิดเป็นใหญ่ ไม่ค่อยสนใจเอาแต่พรรคพวกตัวเองและไม่ฟังความเห็นใคร จึงขอทวงพรรคคืน”
“เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรค รทสช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีเฮียเฮ้ง ตอนหนึ่งว่า “สส.ที่ไปกินข้าวที่โรงแรมคอนราดวันนั้น มี 2 ประเภท คือ แบบเขตเลือกตั้ง มีภาระผูกพันอยู่กับพรรค เพราะตอนเสนอตัวให้ประชาชนเลือก เสนอตัวในนามพรรค รทสช. จึงควรเคารพมติพรรคและอยู่ในกติกาของพรรคอย่างมีมารยาท หากเมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมเป็นสิทธิของท่านที่จะพิจารณาหาพรรคที่เหมาะสมกับจริตของตนเองต่อไป

สส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นคะแนนของพรรค เพราะประชาชนเลือกที่พรรคไม่ใช่ตัวบุคคล พรรคที่สังกัดไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองแล้ว ควรจะลาออกจากสมาชิกพรรคในทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายชื่อถัดไปได้มีโอกาสมาทำงานตามนโยบายพรรคต่อไป การเข้าพบหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากเข้าประชุมพรรคจะพบว่าสามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และหลังจากประชุมแล้ว สส.ก็สามารถเข้าพบหัวหน้าพรรคที่ห้องได้ตลอดเวลา”

“สส.ท็อป” ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “จริงๆ ผมในฐานะฝ่ายค้าน ผมเฉยๆ กับข่าวเรื่องการปรับ ครม. แต่ข่าวเรื่องการปรับย้ายรัฐมนตรีที่ผมแปลกใจ คือกรณีที่มีข่าวมาว่า นายกฯ อาจจะปรับ ครม.โดยเอานายสุชาติ ชมกลิ่น เข้ามานั่ง รมว.อุตสาหกรรมแทน อันนี้แหละผมสงสัยขึ้นมาแล้ว พูดกันตรงๆ การต่อสู้กับทุนจีนผิดกฎหมายที่หลั่งไหลเข้ามาในภาคตะวันออกตอนนี้ ในฟากของรัฐบาล ผมก็เห็นบทบาท “รัฐมนตรีขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรมคนปัจจุบันเพียงคนเดียว ที่ออกมาเทคแอคชั่น ทำหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้มากกว่ารัฐมนตรีคนอื่น แต่กลับมีข่าวว่าจะโดนปรับออกจาก ครม. ทำไมถึงเป็นแบบนี้
หนำซ้ำหลายครั้งที่ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐมนตรี ทางนายกรัฐมนตรี เองก็คงทราบว่า นายสุชาติถูกอภิปรายว่าพัวพันกับเรื่องโรงงานที่ผิดปกติในภาคตะวันออกอยู่เรื่อยๆ แต่กลับมีข่าวว่าจะเอามาเป็น รมว.อุตสาหกรรม จนผมสงสัยว่า จะเอากันแบบนี้จริงๆ หรือ? เหตุผลมันมาจากอะไรกันแน่?”

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฏิเสธกระแสปรับ ครม. ที่พรรคเพื่อไทยจะให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มาคุมกระทรวงมหาดไทยแทนว่า ยังไม่มีการพูดเรื่องการปรับ ครม. กับ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อดีตนายกฯ แม้ว” นายอนุทิน ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในช่วงที่ฝนตก ทั้งที่สวมรองเท้าปกติ โดยหลังจากล้ม นิ้วซ้นสวมแหวนที่สวมประจำไม่ได้ เพราะเจ็บนิ้วนาง นิ้วนางข้างซ้ายบวม “ใส่แหวนไม่ได้ ตุ่ยเลย ตอนล้มเอามือไปยัน จ้ำเบ้า“
“ทีมข่าวการเมือง”