เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จัดเสวนาในหัวข้อ “การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย : เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร”  โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายวีรพันธ์ มาไลยพันธ์อดีตคณะบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านปราสาทต่างๆ   นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสว. นายดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ด้านเอเชียตะวันออกเชียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มาแลกเปลี่ยนความเห็นถึงทางออกของสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยพล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่าหลัง กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ประณามกัมพูชาที่ไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้าน และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนไทย  พร้อมลงพื้นที่ในวันที่ 9-10 มิ.ย.  ให้กำลังใจแก่ทหารหาญกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อดทน  เพราะมีประเด็นสะสมความตึงเครียดซับซ้อนมายาวนาน จะดำเนินการใดๆต้องความรอบคอบ รัดกุม

จากนั้น นายคำนูณ กล่าวว่า ช่วงท้ายสมัยที่ตนเป็น สว. ได้ขอเปิดอภิปรายเรื่องข้อพิพาททางทะเลเพื่อบันทึกไว้ว่า สว.เคยอภิปรายในเรื่องนี้ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็เกิดเรื่องทางบกขึ้นมาอีกแล้ว ในคณะรัฐมนตรี (ครม.)สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เคยมีมติกำชับให้ทุกหน่วยงาน เวลาติดต่อเรื่องต่างๆ ให้ทำบันทึกสงวนความเห็นไว้ว่าประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เหตุการณ์เมื่อ 28 พ.ค.2568  ตนเชื่อว่าเป็นมุกเดิมของกัมพูชาที่เขาทำมาตลอด คือการโต้แย้งเรื่องเขตแดนกับไทย แล้วเกิดเป็นเหตุกระทบกระทั่งกัน จะเป็นเหตุธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติก็แล้วแต่ สุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง กัมพูชาก็พาไปศาล ICJ  ประเทศไทย มีบทเรียน แต่ไม่ค่อยเรียนรู้ และไม่เคยจดจำอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดซ้ำซากขึ้นมา ตนพยายามเตือนความทรงจำว่า ไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ   ถือเป็นเรื่องตลกร้ายมากที่ประเทศไทยไม่เคยได้รับอำนาจศาล ICJ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2489 แล้วทำไมเราต้องแพ้ถึง 2 ครั้ง โดยก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีองค์การสันนิบาตชาติ หรือศาลโลกเก่า (PCIJ) ประเทศไทยประกาศรับอำนาจศาลโลกเก่านี้  โดยการรับอำนาจจะทำได้คราวละ 10 ปี และต่ออายุ  ประเทศไทยต่ออายุไป 2 ครั้ง  ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง  ศาลโลกเก่าก็หายไปและเกิดศาล ICJ ขึ้น 

นายคำนูณ กล่าวว่า มันเกิดความพิสดารมากในปี 2493 รัฐบาลไทยขณะนั้นประกาศทำหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติว่าต่ออายุศาลโลกเก่า PCIJ อีก  จากนั้น 11 ปีต่อมา จึงนำความเจ็บปวดมาสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2502 กัมพูชาฟ้องไทยต่อศาล ICJ ในประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร จากนั้นศาลก็พิจารณาในปี 2504ว่า   ถึงประเทศไทยจะบอกว่า รับอำนาจศาล PCIJ แต่ไม่ได้รับศาล ICJ  แต่เขาก็เขียนไว้เจ็บปวด ว่า ในขณะนั้นไม่มีศาล PCIJ แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลไทยจะไม่รู้ จึงเป็นไปตามกฎหมาย  ซึ่งเรื่องการยอมรับอำนาจศาลนี้ ไปหมดลงปี 2503 แต่กัมพูชาฟ้องเราก่อนที่จะหมดอายุ 7 เดือน จากนั้น ไทยกับศาลโลกขาดจากกัน

นายคำนูณ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อปี 2554 กัมพูชาก็ยื่นคำร้องให้ศาล ICJ ตีความอีกครั้ง เหตุการณ์นี้จะพูดว่า แพ้ก็ไม่ตรงความจริงนัก แต่เอาเป็นว่า ไม่ชนะก็แล้วกัน และกัมพูชาก็ไม่ชนะ แต่เราเสียดินแดนเพิ่มขึ้น จึงเป็น 2 เหตุการณ์ที่เราไม่สามารถไปศาล ICJ ได้ ถ้าไปอีกตนก็เชื่อมั่นว่า โอกาสชนะมีน้อย  ผมข้อสังเกตอยู่ 5 ข้อคือ 1.ศาล ICJ ใช้หลักกฎหมายปิดปากไทยใน 2กรณี คือระบุว่า ไทยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น และกรณีที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร  2.ศาล ICJ ให้ถือว่าการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในฐานะคู่สัญญาสำคัญกว่าเนื้อหาหลักของสนธิสัญญา มันชัดเจนว่าแผนที่ระหว่างระวางพนมดงรัก ไม่สัมพันธ์กับสันปันน้ำเลย แต่ศาลถือว่าการแสดงออกของไทยเราสำคัญกว่าเนื้อหาหลัก  3.การที่ศาล ICJ พิพากษาให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยในพื้นที่พิพาท ถ้าเราบกพร่องจริงแต่โทษที่เราได้รับต้องสูญเสียอธิปไตย ในทางกฎหมายต้องตั้งคำถามว่าให้สัดส่วนกันหรือไม่ 4.ศาล ICJ เลือกให้น้ำหนักกับปัจจัยอื่นมากกว่าเนื้อหาหลัก โดยเฉพาะที่เป็นโทษกับประเทศไทยด้านเดียว โดยไม่ได้ชั่งน้ำหนักให้ปัจจัยอื่น ที่อาจจะเป็นคุณกับฝ่ายไทย   5.ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ให้แล้วว่าคำพิพากษาของศาล ICJ ไม่ส่งผลดีกับใครเลย ถ้าผมจะพูดว่าคำวินิจฉัยศาล ICJ เปรียบเสมือนฆาตกรที่ฆ่าคนมาอย่างเลือดเย็นเกือบครึ่งศตวรรษ

ด้านนายดุลยภาค กล่าวว่า กัมพูชาเตรียมการมานาน ใช้ยุทธศาสตร์หลายขา กดดันประเทศไทยหลายมิติ  ทั้งเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ การเคลมมรดกทางวัฒนธรรม และใช้การเมืองภายในประเทศ สัมพันธ์กับการเมืองระหว่างประเทศสร้างความได้เปรียบในระบอบฮุน มาเนต มีเป้าหมายสูงสุดคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้กัมพูชามีอาณาเขตเพิ่ม   มาดูวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ เล่ห์กล ลักษณะนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา  เช่น ในวันที่ 29 พ.ค. ฮุน มาเนต โพสต์เฟซบุ๊ค ว่า”กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต และสามารถใช้กองกำลังเข้าไปพิทักษ์อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ของกัมพูชาด้วย”  คำนี้เป็นดาบสองคม และเป็นอันตรายต่อ มวลมนุษยชาติ คำว่า”อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต” หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยการเอาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป คือ ถ้ารู้สึกว่า มีดินแดนหนึ่งน่าจะเป็นของเขา จะใส่อารมณ์ความรู้สึก ใส่อัตลักษณ์ที่คิดว่าเป็นของเขาเข้าไปผูกติดพันธนาการกับพื้นที่นั้น 

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น กระแสเคลมโบเดีย ที่คนเขมรอ้างมรดกทางวัฒนธรรมเป็นของตนฝ่ายเดียว ทั้งกรณีชุดไทย หรือเล่นโขน คนเขมรเคลมว่า ประเทศไทยขโมยมรดกทางวัฒนธรรมของเขา   กัมพูชาได้ประโยชน์กับชาตินิยมประเภทนี้มาก แต่ข้อเสียคือ นำไปสู่ความเกลียดชังในหมู่ชนชาติต่างๆ จะทำให้เกิดลัทธิเกลียดชังระแวงชาวต่างชาติทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แนวคิดแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการบูรณาการอาเซียน หรือขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของเพื่อนบ้าน เราต้องโน้มน้าวอาเซียนให้เห็นอันตรายตรงนี้   ทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่บริเวณเขตแดนแล้วมีความตึงเครียดระหว่างประเทศฮุน เซนจะออกโรงมาอย่างชัดเจน ใช้เกมยั่วยุ และมีการนำชาตินิยมที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกัมพูชา มาเป็นผลดีต่อคะแนนนิยมของระบอบตนเอง” นายดุลยภาคกล่าว

นายดุลยภาค กล่าวอีกว่า  อาเซียน เรามีกลไกที่จะยับยั้งความขัดแย้งได้โดยไม่ต้องเร่งรัดไปถึงศาลโลก แต่สิ่งที่กัมพูชาทำคือให้น้ำหนักเบากับอาเซียนและไปสู่ศาลโลกเลยหรือไปหาฝรั่งเศส  ดังนั้น ประเทศไทยน่าจะลากกัมพูชามาพูดกันก่อนว่า MOU 43 ที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลต และฝังกลบเรียบร้อยแล้วการพูดคุยใน JBC หรือในเวทีอื่น เพื่อวางการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิด การเผชิญหน้าทางทหารและเคารพกรอบ MOU 43 ภาพที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลตและฝังกลบเป็นภาพฟ้องอยู่แล้ว ว่ากัมพูชามีอะไรบางอย่างที่ละเมิดหลักข้อตกลง  ตนแนะนำว่า ให้นำเรื่องของ อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต เข้าไปพูดคุยในชุมชนระหว่างประเทศและประณามกัมพูชา ว่าคิดแบบนี้อันตรายเพราะในโลกทุกวันนี้ไม่มีประเทศไหนคิดแบบนี้กันแล้ว  ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชากำลังตกขอบโลกในมุมคิดของระเบียบสากล  สุดท้าย ตนขอฝากรัฐบาล วุฒิสภาว่า  เราจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชา  วุฒิสภาต้องมีวุฒิสภาการทูตที่จะตอบโต้กับวุฒิสภาของกัมพูชาด้วย เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจและทบทวนพฤติกรรมของกัมพูชา แต่เหนือสิ่งอื่นใดรัฐบาลควรต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจว่าด้วยการวางยุทธศาสตร์ไทยกับกัมพูชาได้แล้ว และแยกเป็นหลายด้าน

ในช่วงท้าย นายคำนูณ  กล่าวเสริมถึงความสัมพันธ์ของ 2 ครอบครัวชินวัตรและตระกูลฮุน ว่า  การเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศในตอนนี้แทบไม่เหลื่อมกันแล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายด้วยความยากลำบาก เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อรัฐบาล เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำรัฐบาลด้วยกัน มองในข้อดีก็มี ถ้ามองในข้อเสียก็มี และท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและไทยต่างกันตั้งแต่ต้น จนตอนนี้ รัฐบาลกัมพูชา

“พ่อลูกฮุน พูดแรงทุกวันจนถึงวันนี้ แต่ของเรารัฐบาลพูดน้อยมาก บอกว่าพูดมากไปไม่ดี แต่คนนอกรัฐบาลที่ออกมาพูด บางทีก็ทำให้ดูแย่ ผมเขื่อว่าทหารในพื้นที่เจ็บปวดที่มาบอกว่าเอาพื้นที่ตรงนั้นมาทำสนามตะกร้อ แต่ยังมีทหารเสียชีวิต ผมว่าไม่ค่อยเหมาะ   ล่าสุด ที่ทางการกัมพูชาบอกว่า ไม่ต้องพึ่งพาไฟและอินเทอร์เน็ตจากไทย เพราะมีพร้อมแล้ว เขาทำก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)  เราจะเดินอย่างไรต่อ เข้าใจว่าเขาพยายามยั่วยุ  เราไม่อยากเห็นท่าทีของผู้นำประเทศอ่อนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เป็นชนวนทำให้เกิดการปะทะให้เสียเลือดเสียเนื้อขึ้นมา เพราะจะเป็นสิ่งที่เขาจะลากเอาศาลโลกหรือสหประชาชาติเข้ามา เพราะกระแสชาตินิยมขึ้นแล้วลงยาก ขอชื่นชมกองทัพยุคนี้ที่มีวุฒิภาวะสูง มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหน้างาน“ นายคำนูญ กล่าว.