เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย แถลงถึงการประชุมเจบีซี ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า จากประสบการณ์ที่ตนเคยเข้าร่วมการประชุมเจบีซี ไทย-กัมพูชา มาแล้ว 5 ครั้ง ทำให้เห็นว่าการประชุมครั้งล่าสุดราบรื่นที่สุดเท่าที่ตนเคยเจอมา เพราะการประชุมเจบีซีในอดีตที่ผ่านๆ มามีการทะเลาะกันอย่างหนัก สำหรับการประชุมเจบีซีครั้งล่าสุดถือว่าประสบความสำเร็จในประเด็นทางเทคนิค สำหรับขั้นตอนทำงานของเจบีซี มี 5 ขั้นตอน คือ 1.การตรวจหาหลักเขตแดนที่ปักไว้เมื่อปี 2462-2463 จำนวน 74 หลัก ซึ่งมีหลักเขตแดนที่ไทยและกัมพูชาเห็นชอบร่วมกันและทำเสร็จแล้ว 45 หลัก เหลืออีก 29 หลักที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน 2.การถ่ายภาพทางอากาศ ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้ปักหลักเขตแดนเพิ่มให้ถี่ขึ้นและชัดเจน จึงต้องบินถ่ายภาพทางอากาศและผลิตแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ หรือที่เรียกว่า Orthophoto หรือ Photomaps ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2

นายประศาสน์ กล่าวอีกว่า 3.หลังจากมีภาพถ่ายทางอากาศแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมาหารือกันว่าจะเดินสำรวจแนวไหน มีการลากเส้นและจัดทำเป็นคู่มือให้เจ้าหน้าที่ผู้ไปลงพื้นที่ 4.ทั้ง 2 ฝ่ายส่งชุดลงทำงาน หากเห็นพ้องกัน ก็จะปักหลักเขตเพิ่ม และ 5.หากทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบ จัดทำแผนที่ฉบับใหม่ ทั้งนี้ ในการประชุมเจบีซีครั้งล่าสุด ประธานเจบีซีของทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมาธิการในชั้นเทคนิค เมื่อปี 2567 และตกลงร่วมกันว่าการถ่ายภาพทางอากาศนั้น ใช้โดรนติดกล้องระบบ LiDAR (หรือ Light Detection And Ranging System) ยิงเลเซอร์ลงมา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความแม่นยำกว่าเดิม แทนการใช้เครื่องบินถ่ายภาพทางอากาศ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้พูดคุยในรายละเอียดว่าจะใช้โดรนขนาดเท่าไหร่ บินสูงแค่ไหน ใช้ความถี่เท่าไหร่ และมีการคุยกันว่าใครจะเป็นคนออกค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องจ่ายคนละครึ่ง โดยไทยได้ทำวิธีนี้กับลาวและเมียนมาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร แต่กัมพูชาค่อนข้างอ่อนไหวว่าฝ่ายไหนจะเป็นคนบินโดรน

นายประศาสน์ กล่าวว่า ขั้นตอนการประชุมเป็นไปด้วยความรวดเร็วมาก ซึ่งทางกัมพูชาได้สอบถามว่าทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจหลักเขต ตนจึงชี้แจงว่าเห็นด้วยในหลักการที่จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไป แต่ติดอยู่ 2 เรื่อง คือยังไม่ได้ทำคู่มือให้เจ้าหน้าที่ และตามทีโออาร์ จะต้องมีเทคนิค LiDAR ให้พร้อมก่อน จะให้ไปเดินดุ่มๆ ตามแนวชายแดนไม่ได้ เพราะเราเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ของเรา เพราะพื้นที่ชายแดนมีทุ่นระเบิด แม้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดไปเยอะแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตาม กัมพูชาได้ทักท้วงว่าทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่ ตอนที่ 6 ช่วงปราสาทพระวิหารจนถึงภาคตะวันออก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายถกเถียงกันประเด็นนี้กันไป โดยตนชี้แจงว่าต้องเร่งทำภาพถ่ายทางอากาศก่อน แต่ขณะนั้นในปี 2551 เป็นพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ที่มีการยิงกัน

นายประศาสน์ กล่าวว่า การประชุมเจบีซีครั้งที่ 6  มีเนื้อหาละเอียดอ่อน โดยเรามีการประชุมกลุ่มเล็กก่อนเพื่อเคลียร์เรื่องสำคัญ ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดนาน 2 ชั่วโมง และข่าววาระการประชุมที่มีหลุดออกมา คือวาระก่อนการประชุมกลุ่มเล็กของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ตนขอย้ำว่าการทำงานของคณะเจบีซี คือการทำให้เห็นเขตแดนเกิดความชัดเจน โดยเรายกตัวอย่างกรณีเขตแดนกับประเทศมาเลเซีย 556 กิโลเมตร ที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปี กว่าจะสำเร็จ โดยไม่มีปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่กับกรณีของกัมพูชาที่มีชายแดนยาว 800 กว่ากิโลเมตรนั้น เรียกได้ว่ายังไม่ถึงขั้นตั้งไข่ และไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้เมื่อไหร่ อาจใช้เวลาทำงานด้านเทคนิคนาน 15-20 ปี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง

เมื่อถามว่าทำแผนที่มีการตกลงกันหรือไม่ว่าจะยึดแผนที่ 1:200,000 หรือ 1:50,000 นายประศาสน์ กล่าวว่า ตนยืนยันชัดเจนว่าในที่ประชุมเจบีซีไม่มีการพูดถึงแผนที่ 1:200,000 เลย และการจัดทำเขตแดนก็ไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่ 1:200,000 หรือแผนที่ 1:50,000 ที่ต่างฝ่ายต่างทำกันเองเลย แต่ต้องใช้แผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศซึ่ง 2 ฝ่ายจะต้องทำร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ สำหรับแผนที่ 1:50,000 ที่ไทยใช้นั้น เป็นแผนที่ทางยุทธการ

เมื่อถามว่าหลังจากกัมพูชาออกแถลงการณ์แล้ว ทางไทยได้มีการติดต่อไปเจรจาเพื่อทำความเข้าใจหรือไม่ นายประศาสน์ กล่าวว่า ตนทำเฉพาะเรื่องทางเทคนิคเท่านั้น ส่วนเรื่องการแถลงคลาดเคลื่อน เป็นหน้าที่ของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะแถลงชี้แจง ซึ่งเมื่อเช้าตนได้แจ้งว่า เพิ่งเปิดประตูให้เจรจากันได้ ดังนั้นจะเป็นการคุยแค่เฉพาะเทคนิคล้วนๆ เรื่องชวนทะเลาะไม่เอา เรื่องชวนทะเลาะ ปิดประตูคุยกันก็เคยมาแล้ว ตนเจอหนักกว่านี้มาแล้ว เมื่อวานถือว่าสมูทที่สุดแล้ว มีการอัดกันเบาๆ ในห้องประชุม ประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับตนคือเบามากกว่าที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่า กัมพูชาได้มีการแจ้งว่า จะยื่นเรื่อง 4 พื้นที่พิพาท ต่อศาลโลกในที่ประชุมหรือไม่ และในการประชุมครั้งหน้า กัมพูชายืนยันว่าจะไม่มีการพูดคุย 4 พื้นที่พิพาท ในกลไกทวิภาคี ดังนั้นในการพูดคุยในเดือนกันยายน ไทยจะเป็นผู้เสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมเจบีซีได้หรือไม่ นายประศาสน์ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่เกินขอบข่ายที่ตนจะต้องพูด แต่ตนขอตอบเลยว่า นายกฯ ของเขา ได้โพสต์ข้อความก่อนวันประชุม ว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุม เขาจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาในวงเล็ก เพื่อบอกว่าเขาจะไม่พูด ตนก็โอเครับทราบว่าเขาจะไม่พูด แต่บอกว่าเสียดาย แม้จะไม่พูดเรื่องเขตแดนเพราะต้องการเอาขึ้นศาลโลกก็เรื่องของท่าน แต่หนึ่งในนั้นเป็นจุดที่เกิดการปะทะกัน และอดีตเคยมีประธานไปคุยกันที่แนวชายแดน ไปดูให้เห็นกับตาและกำหนดมาตรการชั่วคราว มีการตีกรอบไม่ให้เข้าไปทำกิจกรรมใดๆ กำหนดความกว้างความยาวเท่าที่จำเป็น ไม่ให้เข้าไปใกล้กันจนเกิดการกระทบกระทั่ง แต่ตนขอว่าเราเคยมีหลักปฏิบัติชั่วคราวเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านทะเลาะกัน ขอยกเรื่องนี้มาพูดได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการพูดในวงเล็ก จึงไม่มีอยู่ในรายงานการประชุมเลย แต่มีการคุยกันเกือบชั่วโมง แต่เขาได้รับคำสั่งชัดเจนว่าไม่ให้พูด ไม่ให้ยกขึ้นหารือ และเมื่อเขาเอาเรื่องในกลุ่มเล็กมาพูด ตนก็เอามาพูดได้บ้างแล้วกัน ในเรื่องที่คิดว่าไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ให้เห็นบรรยากาศ จริงๆ มันสมูท ไม่ได้งี่เง่าไปถูกเขาหลอกแบบสมูท เพราะมีการอัดกันแรงพอสมควร แต่ยืนยันว่าแรงน้อยที่สุดแล้ว ตั้งแต่ตนเคยเจอมา

เมื่อถามว่าในเอ็มโอยูปี 2543 มีการบันทึกว่า การปักปันแนวเขตจะต้องยึดที่สันปันน้ำใช่หรือไม่ และแนวเขตในการปักปันแตกต่างแผนที่ 1:200,000 และแผนที่ 1:50,000 อย่างไร นายประศาสน์ กล่าวว่า เรายึดจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 รวมถึงแผนที่ ซึ่งเป็นผลการสำรวจปักปันในอดีต รวมถึงเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องที่กฎหมายระหว่างประเทศให้การรับรอง เช่น รายงานข้าหลวงที่ไปปักปันเขตแดนทางกัมพูชา นอกจากนี้ฝ่ายกัมพูชาเคยปักปันด้วยปักหลักไม้ไว้ 2 ครั้ง และจัดทำภาพแผนผัง ที่หลายคนเรียกว่าบันทึกวาจา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลักซีเมนต์และทำบันทึกวาจาไว้

เมื่อถามว่าเมื่อกัมพูชาอ้างว่าแผนที่ 1:50,000 เป็นแผนที่ที่ไทยทำฝ่ายเดียว นายประศาสน์ ชี้แจงว่า แผนที่ 1:50,000 เป็นแผนที่ยุทธการซึ่งแต่ละประเทศผลิตขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะด้วยทางเทคโนโลยีหรือความร่วมมือต่างๆ เป็นการต่างคนต่างทำ ไม่มีผลผูกพัน แม้ให้ทำร่วมกันก็ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ ไม่ใช่แผนที่ที่ทำโดยสนธิสัญญา