ครอบครัวเจ้าของร้านอาหารเจ้าของรางวัล ‘มิชลินสตาร์’ ในญี่ปุ่น โดนตำรวจจับกุม หลังจากลูกค้าไม่ต่ำกว่า 50 รายของทางร้าน ล้มป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

ฮิโระคาซึ คิตะโนะ วัย 69 ปี, โนริโกะ วัย 68 ปี ภรรยาของเขา และ ฮิโระโทชิ ลูกชายวัย 41 ปี ซึ่งร่วมกันเป็นเจ้าของร้านอาหาร ‘คีจิ’ (Kiichi) ในจังหวัดโอซากะของญี่ปุ่น โดนจับกุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าพวกเขาละเมิดพระราชบัญญัติสุขอนามัยอาหาร ว่าด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานสุขอนามัยและความปลอดภัยขั้นพื้นฐานในการประกอบอาหาร

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ร้านคีจิโดนคำสั่งปิดร้าน หลังจากมีรายงานว่า ลูกค้า 33 ราย มีอาการที่สอดคล้องกับโรคอาหารเป็นพิษและติดเชื้อโนโรไวรัส เช่น อาการท้องเสีย ปวดท้อง และอาเจียน 

แต่ครอบครัวคิตาโนะกลับไม่สนใจเรื่องการระบาดของไวรัสที่อาจเกี่ยวข้องกับร้านอาหารของพวกเขา จึงยังคงดำเนินกิจการต่อไป โดยปิดเพียงประตูทางเข้าร้านและขายอาหารกล่องแบบญี่ปุ่นจำนวน 11 กล่อง เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนเชื่อว่าอาหารกล่องเหล่านี้ปนเปื้อนจุลินทรีย์ที่ก่อโรค

ถัดมาอีกหลายวันก็มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และมีการตรวจพบเชื้อโนโรไวรัสในอาหารของทางร้านอีกครั้ง หลังจากที่ลูกค้า 23 ราย ล้มป่วยด้วยอาการอาหารเป็นพิษในช่วงก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์

ทางการได้ขยายระยะเวลาสั่งปิดร้านคีจิออกไปเป็นตลอดเดือนมีนาคม ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสงสัยว่า กรณีของผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษและติดเชื้อโนโรไวรัสนั้น เป็นผลมาจากกระบวนการจัดการเบื้องหลังการประกอบอาหารของทางร้านที่ไม่ได้มาตรฐาน

ในที่สุด ร้านคีจิก็ยอมรับว่า ทางร้านไม่ได้ใส่ใจดูแลให้พนักงานในร้านรักษามาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างเข้มงวด

“เราถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เราจะดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารของทางร้านปลอดภัย โดยการเสริมสร้างและนำระบบการจัดการสุขอนามัยของเราไปใช้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นซ้ำอีก” ทางร้านอาหารโพสต์ข้อความไว้บนเว็บไซต์เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ร้านคีจิได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านอาหารขั้น 1 ดาว ตามการจัดระดับของ ‘มิชลินไกด์’ ประจำภูมิภาคคันไซ ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ก่อนที่จะถูกคัดออกจากรายชื่อร้านอาหารอันทรงเกียรตินี้ในที่สุด

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES