เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “พ่อ แม่ รังแกฉัน” คนทั่วไปอาจไม่ทราบ หรือแม้กระทั่งนายกฯ ก็อาจจะคาดไม่ถึง หรือไม่ทราบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 8 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” การที่นายกฯ กล่าวกับนายฮุน เซน ว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา” นั้น ถือได้ว่าเป็นการให้ข้อมูลสำคัญอันเป็นความลับที่คนทั่วไปไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ของผู้นำรัฐบาล กับทหารระดับแม่ทัพ ว่า “อยู่คนละฝั่งกัน” นับเป็นประโยชน์ยิ่งกับนายฮุน เซน ที่จะนำข้อมูลดังกล่าวไปวางกลเกมทางการเมืองเพื่อประโยชน์ในการแก้ปมปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีถือได้ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
นอกจากนั้น คำกล่าวดังกล่าวที่ว่านายกฯ อยู่คนละฝั่งหรือตรงข้ามกับแม่ทัพ ย่อมกระทบกับผู้ที่อยู่เหนือกว่าแม่ทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เมื่อคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีกระทบกับความมั่นคงของชาติ และกระทบไปถึงผู้ที่อยู่เหนือกว่าแม่ทัพ มีหนทางเดียวเท่านั้นที่นายกฯ ต้องดำเนินการ คือ “รับผิดชอบทางการเมือง” ซึ่งมีอยู่ 2 แนวทาง คือลาออก หรือยุบสภา เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ การยุบสภาไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องทางการเมือง เพราะประเด็นคลิปเสียงสนทนา ไม่เกี่ยวใดๆ กับสภาเลย การลาออกจากตำแหน่งนายกฯ นับเป็นการแสดงสปิริตทางการเมืองที่เหมาะสมที่สุด
ที่สำคัญ อาจจะช่วยตัดคดีความต่างๆ ที่จะมีถึงนายกฯ อีกไม่รู้กี่คดี ที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่า “พ่อกับแม่” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันลูกซึ่งขาดประสบการณ์ที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้ก็เห็นชัดเจนแล้วว่านายกฯ ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น “พ่อกับแม่” หรือผู้สนับสนุนใดๆ อย่ารังแกลูกอีกเลย ให้ท่านได้กลับไปอยู่กับครอบครัว ก่อนที่จะบอบช้ำไปมากกว่านี้
