เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 68 ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จะส่งผลต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 หรือไม่ ว่า จริงๆ ในขั้นตอน กมธ. เราจะทิ้งความเป็นพรรคออกไป เพราะการเป็น กมธ. คือการเป็นตัวแทนที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งมา แม้จะมีสัดส่วนของพรรคก็ตาม แต่เมื่อมาทำงานในชั้น กมธ.ชุดใหญ่ หรืออนุ กมธ. ที่มีหน้าที่ในการปรับลดงบประมาณแล้ว ซึ่งเมื่อหากไปดูก็จะเห็นว่า สส. ที่เป็น กมธ. ไม่ว่าจะจากพรรคใดก็ตาม เราทำงานกันหนักและปรับลดงบประมาณกันอย่างจริงจัง อะไรที่ไม่จำเป็น ไม่เร่งด่วน และต้องรีดไขมัน ทุกคนจริงจังกับการตัดอยู่แล้ว ฉะนั้น ตรงนี้เราไม่ค่อยห่วง เพราะหน้างานของแต่ละคนคงไม่ต่างกัน

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการลงมตินั้น ตนยังไม่รู้แนวทางของพรรค ภท. ว่าเขาจะตัดสินใจสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 อยู่หรือไม่ เพราะเพิ่งขยับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่โดยปกติแล้ว สส. ทุกคนรู้อยู่แล้วว่างบประมาณแผ่นดินเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นเรื่องจำเป็นในการเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

“ไม่บ่อยนักที่จะลงมติไม่เห็นชอบ เพิ่งจะมีมาช่วงหลัง ในอดีตที่ผ่านมา หากเป็นรัฐสภาชุดก่อนๆ อย่างมากก็งดออกเสียง ถือเป็นลักษณะปกติ แต่แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรคเขา แต่หากจะมีมติอื่นใดที่ไม่ตรงกับรัฐบาล ก็ไม่มีผลอยู่ดีในชั้นกรรมาธิการ เพราะในชั้น กมธ. หากบวกลบเสียงแล้วนั้น ทางรัฐบาลก็ยังมีเสียงข้างมากอยู่ เราไม่ได้ห่วงอะไร เป็นไปตามขั้นตอน ส่วนในสภาใหญ่ หากเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องรวบรวมเสียงข้างมาก ถ้ามีเสียงข้างมาก ต้องไม่มีปัญหาอะไร” นายจุลพันธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า เมื่อพรรค ภท. ออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว เสียงที่รัฐบาลมีจะสุ่มเสี่ยงทำให้ร่างกฎหมายไม่ผ่าน จนทำให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวยอมรับว่า หากไม่ผ่านก็ต้องเป็นไปตามนั้นโดยปกติ แต่เรายังมีความเชื่อมั่นอยู่ ถ้าเรายังเดินหน้าในการเป็นรัฐบาลต่อ ก็ต้องมั่นใจนิดหนึ่ง ตอนนี้ยังมีความมั่นใจอยู่

เมื่อถามว่า การพิจารณางบประมาณปี 2569 จะเป็นไปตามกรอบเวลาหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วตามกรอบคือ 105 วัน ซึ่งไม่เคยมีปัญหา มีบางปีที่ตึงๆ แน่นๆ หน่อย แต่ปีนี้เราเข้ามาค่อนข้างเร็ว จึงยังมีเวลาเหลือเพียงพอในการพิจารณา หลังจากนี้เมื่อมีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราก็จะเดินหน้าในการตั้งอนุ กมธ. ซึ่งเมื่อตั้งอนุ กมธ. เสร็จ งานก็จะเร็วขึ้น เชื่อว่าจะเสร็จตามกรอบ อย่างไรก็ตาม กลไกรัฐธรรมนูญก็รองรับทุกอย่าง ทันไม่ทันดำเนินการได้หมด หากไม่ทันกฎหมายก็บอกว่าให้ใช้ร่างเดิม ก็กลับไปใช้ร่างเดิม ส่วนกลไกที่จะไปปรับเปลี่ยน ก็จะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร สำนักงบประมาณที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์เศรษฐกิจ สังคม ในแต่ละช่วง แต่ทั้งนี้เราตั้งความหวังว่าทำเสร็จทันอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2-3 ช่วงวันที่ 13-15  ส.ค. นี้