จากกรณีเกิดคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่หลุดออกมา โดยนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในคลิปเสียงนั้น เป็นเพียง “เทคนิค” ที่ต้องการให้สถานการณ์ตึงเครียดสงบลง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งสังคมไทย ส่งผลให้มีกระแสการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” เกิดขึ้น จนกระทั่ง รองโฆษกเพื่อไทย ยืนยัน “นายกฯ” ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา เดินหน้าทำงาน ลุยออกกฎหมายทั้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่-กฎหมายนิรโทษกรรม-กฎหมายกาสิโน ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์” หรือ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้ออกมาโพสต์แสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา ลงในแฟนเพจสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยหลังเกิดกรณีคลิปฮุน เซน ชี้การยุบสภาจะกระทบการพิจารณางบประมาณปี 2569 ทำให้รัฐบาลไร้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การเมืองจะเกิดสุญญากาศ เพราะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 88 อีกทั้ง เสนอให้นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี ดึงคนมีความสามารถมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อสถานการณ์คลี่คลายและงบประมาณผ่านสภาแล้ว จึงค่อยยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน พร้อมเสนอให้พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 88 เพื่อเปิดทางหานายกฯ ที่เหมาะสมในอนาคตอีกด้วย

โดยสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ระบุข้อความว่า “บันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ กรณี ฮุน เซน ปล่อยคลิป ด้วยการขอให้นายกรัฐมนตรียุบสภาหรือลาออกนั้น ผมไม่เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาในขณะนี้ เพราะจะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนการลาออกก็จะเกิดปัญหาอีกเหมือนกันดังนี้ครับ”

อีกทั้ง “กรณีเกิดการยุบสภาจะเกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อยุบสภาจะไม่มีผู้แทนราษฎรทำหน้าที่พิจารณา และให้ความเห็นชอบกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ หากยุบสภาจะต้องรอให้มี สส.ชุดใหม่มาพิจารณากฎหมายงบประมาณแทน สส.ชุดเดิม อันจะทำให้รัฐบาลไม่มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อใช้สอย โดยเฉพาะรัฐบาลจะไม่สามารถใช้งบลงทุน เพื่อกระตุ้นและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจไทยที่แย่อยู่แล้วจะต้องแย่หนักขึ้นไปอีก”

นอกจากนี้ “ความเสียหายต่อมาเป็นความเสียหายทางการเมือง เมื่อเกิดการยุบสภาจะทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 (2) แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 168 จะให้รัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อก็ตาม แต่การปฏิบัติหน้าที่จะทำได้เฉพาะเรื่องที่จำเป็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 (1)-(4) เท่านั้น อันจะทำให้รัฐบาลรักษาการไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะปัญหากับกัมพูชา ซึ่งทวีความตึงเครียดจึงต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนดังกล่าว รัฐบาลรักษาการจะอยู่ในสภาพเป็ดง่อยทำอะไรไม่ได้เต็มที่”

ดังนั้น “การยุบสภาในขณะนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เพราะจะทำให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศเกิดข้อจำกัดมากขึ้น กลายเป็นเข้าทาง ฮุน เซน และฝ่ายเผด็จการที่ต้องการให้ประชาธิปไตยของประเทศถึงทางตัน ส่วนการให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็จะเกิดปัญหาทางการเมืองเช่นกัน เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 บัญญัติให้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ เฉพาะผู้ที่พรรคการเมืองเคยเสนอรายชื่อต่อกกต.ไว้เท่านั้น ทำให้พรรคประชาชนไม่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็เหลือเพียง “นายชัยเกษม นิติสิริ” ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ”

นอกจากนี้ “ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นมีเสียงรวมกันไม่ถึงครึ่ง เพราะพรรคประชาชนประกาศแล้วว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงทำให้เสียงไม่พอจัดตั้งรัฐบาลได้ การเมืองก็จะถึงทางตัน เมื่อนายกฯขอโทษประชาชนแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดก็ควรให้นายกฯปรับคณะรัฐมนตรี สรรหาผู้ที่เหมาะสมมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศโดยเฉพาะปัญหากับกัมพูชาและชายแดนใต้ เมื่องบประมาณผ่านสภาและสถานการณ์ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาคลี่คลายลงแล้วประกอบกับเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”

อย่างไรก็ตาม “นายกรัฐมนตรีก็ควรยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ก่อนยุบสภาก็ควรร่วมมือกันแก้ไขยกเลิก มาตรา 88 ของรัฐธรรมนูญเสียก่อน เพื่อให้สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่มีข้อจำกัด ปัญหาของประเทศต้องแก้ไขโดยสติโดยไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ และการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีคือทางออกที่ดีที่สุด”

ขอบคุณข้อมูล : สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย