จากกรณีเกิดคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่หลุดออกมา โดยนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในคลิปเสียงนั้น เป็นเพียง “เทคนิค” ที่ต้องการให้สถานการณ์ตึงเครียดสงบลง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งสังคมไทย ส่งผลให้มีกระแสการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” เกิดขึ้น จนกระทั่ง รองโฆษกเพื่อไทย ยืนยัน “นายกฯ” ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา เดินหน้าทำงาน ลุยออกกฎหมายทั้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่-กฎหมายนิรโทษกรรม-กฎหมายกาสิโน ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นายปิยบุตร แสงกนกกุล” นักการเมืองชาวไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก “Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่พูดถึงกรณีนายกรัฐมนตรีตัดสินใจไม่ลาออกและไม่ยุบสภา แต่เลือกใช้การปรับคณะรัฐมนตรีแทน หลายฝ่ายจึงเสนอแนวทางการดำเนินการทางการเมือง โดยยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ และข้อเสนอ 7 ข้อ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแยงและสุญญากาศทางอำนาจ

โดยนายปิยบุตร ระบุข้อความว่า “3 หลักการ 7 ข้อเสนอ เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ณ เวลานี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีตัดสินใจไม่ยุบสภา ไม่ลาออก แต่ปรับคณะรัฐมนตรี ให้นักการเมือง “รักชาติจนน้ำลายไหล” ได้มีโอกาสแย่งและต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี และอาจมีการ “ขโมย” สส. จากพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ เข้ามา ไม่ว่า “ถาวร” แบบทำให้พรรคอื่นต้องแตกแยก หรือไม่ว่า “ชั่วคราว” แบบยั่วยวนแลกเปลี่ยนกับคะแนนเป็นรายคนและเป็นครั้งคราว”

อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือการลาออก เป็นอำนาจการตัดสินใจโดยแท้ของนายกรัฐมนตรี ในเมื่อนายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ยุบสภา-ไม่ลาออก เราควรทำอย่างไร ภายใต้สถานการณ์การเมืองเช่นนี้ ผมเสนอว่าต้องยึดหลักการพื้นฐานเป็นเบื้องต้นไว้ก่อน ดังต่อไปนี้
1. รักษากติกาประชาธิปไตย
2. ต่อต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่ใช้กองทัพยึดอำนาจ ทั้งแบบร่วมสมัยที่ใช้ศาลหรือองค์กรอิสระเข้าจัดการผ่านกลไกทางรัฐธรรมนูญ
3. รักษาสันติภาพ ใช้มาตรการเจรจา ไม่ตกอยู่ภายใต้ความคิดแบบคลั่งชาติสุดโต่ง

หากยึดหลักการพื้นฐานดังกล่าวไว้ ก็สรุปเป็นข้อเสนอได้ ดังนี้
1. ยึดหลักการรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งต้องอยู่เหนือกองทัพ การแก้ไขปัญหาชายแดนและปัญหาความมั่นคงของประเทศ ต้องให้รัฐบาลพลเรือนรับผิดชอบ มีอำนาจตัดสินใจ มีอำนาจสั่งการกองทัพ ห้ามมิให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือผู้บัญชาการภาค ริเริ่มตัดสินใจใช้อำนาจใดๆได้เองตามลำพัง โดยที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่รับรู้รับทราบ
2. นายกรัฐมนตรีต้องแสดงภาวะผู้นำ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทยว่า สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาได้ โดยไม่ต้องโอนอำนาจเบ็ดเสร็จให้กองทัพ พร้อมกับทำให้ประชาชนมั่นใจว่า การดำเนินการต่างๆ เป็นไปโดยยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน มิใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคล และยึดมั่นแนวทางสันติภาพ ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคี
3. ใช้กลไกตามระบบรัฐสภาในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การตรวจสอบผ่านคณะกรรมาธิการ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดยนายกรัฐมนตรีต้องให้ความร่วมมือกับกลไกดังกล่าว
4. คัดค้านการใช้กระบวนการนิติสงคราม ที่มีเป้าประสงค์ให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือสร้างสุญญากาศทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น การตีความขยายความคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์“ ออกไปอย่างกว้างขวาง เพื่อสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หรือให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือไม่ว่าจะเป็นการใช้ช่องทางตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันหลายคน
5. คัดค้านความพยายามสร้างสุญญากาศทางการเมืองของคนบางกลุ่มบางพวก ที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือเพื่อเปิดทางพิสดาร บิดผันรัฐธรรมนูญ นำ “นายกรัฐมนตรี” แบบพิเศษ มาตามมาตรา 5 วรรคสอง
6. คุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพสื่อมวลชน
7. เพื่อฟื้นฟูความชอบธรรมทางการเมือง เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์การเมืองในประเทศ (โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา) และเพื่อป้องกันมิให้ “นักสร้างสุญญากาศ” ทำสำเร็จ นายกรัฐมนตรีควรแถลง “เส้นทางเวลา” ไปสู่การยุบสภาภายในสิ้นปีนี้ เช่น ประกาศว่า ภายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีประกาศใช้ และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องชายแดนกับกัมพูชาได้เข้าที่เข้าทางระดับหนึ่งแล้ว จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ภายในสิ้นปี 2568

ขอบคุณข้อมูล : Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล