“อานา โตนี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของการประชุม COP30 ได้ออกมากล่าวเตือนว่า “วิกฤติภูมิอากาศคือสงครามที่ใหญ่ที่สุดของเรา มันจะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อย 100 ปี เราจำเป็นต้องมีสมาธิกับมัน และอย่าปล่อยให้สงครามอื่น ๆ มาเบี่ยงเบนความสนใจจากการต่อสู้ที่สำคัญกว่า” คำกล่าวนี้สะท้อนความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อการประชุม ซึ่งมีตัวแทนจาก 200 ประเทศเข้าร่วม แต่กลับมีไม่ถึง 30 ประเทศที่ยื่น แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDCs: Nationally Determined Contributions) ตามข้อผูกพันจากข้อตกลงปารีสปี 2015 ขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยบนแผ่นดินของโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้พุ่งทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่นานาชาติเคยมีฉันทามติว่าจะไม่ให้เกิน
ความพยายามรับมือกับวิกฤติโลกร้อนกำลังสะดุดจากแรงกดดันทางการเมือง และความขัดแย้งทั่วโลก โดยเฉพาะการที่สหรัฐ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและหันไปสนับสนุนพลังงานฟอสซิล นอกจากนี้ ยุโรปยังคงเผชิญแรงเสียดทานภายในเกี่ยวกับเป้าหมายลดคาร์บอน ส่วนจีน ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในโลก แม้จะมีบทบาทโดดเด่นในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน แต่กลับมีแนวโน้มตั้งเป้าลดเพียง 10% ภายในปี 2035 ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าต่ำกว่าศักยภาพอย่างมาก
ในอีกด้าน สงครามในตะวันออกกลาง วิกฤติหนี้สินในประเทศยากจน และค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น กำลังเบี่ยงเบนความสนใจของผู้นำโลกออกจากเรื่องภูมิอากาศ “มิไช โรเบิร์ตสัน” ที่ปรึกษากลุ่มประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ (AOSIS) ได้ให้ความเห็นว่า “ยิ่งใช้จ่ายเพื่อการทหารมากขึ้น ก็ยิ่งเหลืองบสำหรับภูมิอากาศน้อยลง”
ท่ามกลางวิกฤติและความล่าช้าในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศนี้ เริ่มมีการตั้งคำถามว่า เป็นเพราะกระบวนการเจรจาที่ซับซ้อน หรือมีแรงต้านในเชิงอำนาจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตพลังงานฟอสซิล ซึ่งเห็นได้จากการประชุมเบื้องต้นที่เมืองบอนน์ที่เพิ่งเสร็จสิ้น ประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงวาระได้ และไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในประเด็นสำคัญ
ประเด็นหลักของการประชุม COP30 คือ การนำเสนอ NDCs ฉบับใหม่ที่ต้องยื่นก่อนเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สหประชาชาตินำเข้าสู่กระบวนการประเมิน โดยโตนีย้ำว่า “เราไม่ได้ต้องการแค่จำนวนของ NDCs แต่ต้องการแผนที่มีคุณภาพและเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานด้วย”
จีนเป็นประเทศที่ถูกจับตามากที่สุด แม้จะมีความสามารถในการลดการปล่อยคาร์บอนลงครึ่งหนึ่งได้ภายในปี 2578 แต่การอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินรอบใหม่ในปีนี้ ทำให้เป้าหมายยังไม่ชัดเจนนัก สำหรับสหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการเจรจาลดคาร์บอน 90% ภายในปี 2583 โดยยังถกเถียงกันว่าจะเปิดให้ใช้กลไกซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือไม่ ขณะที่อินเดียยังไม่มีแผน NDCs ที่ชัดเจน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ได้ยื่นแผนที่ทะเยอทะยาน ขณะที่แผนของแคนาดาและญี่ปุ่นยังถูกประเมินว่า “ไม่เพียงพอ” และที่น่าเป็นห่วงคือ ยังไม่มีประเทศใดอัปเดตเป้าหมายระยะใกล้สำหรับปี 2030 เลย ทั้งที่ข้อตกลงปารีสเปิดช่องให้ปรับเปลี่ยนได้หากจำเป็น
ประเด็นการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้จะถูกระบุไว้ใน COP28 ที่ดูไบ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าในการประชุม COP29 และยังไม่มีวาระที่แน่นอนใน COP30 แม้นักเคลื่อนไหว หวังจะหยิบยกกลับมาอีกครั้ง แต่เจ้าภาพอย่างบราซิลก็ดูจะไม่ต้องการเปิดประเด็นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม บราซิลยังคงได้รับความไว้วางใจในฐานะผู้นำการประชุม โดยดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเข้าร่วม ทั้งอดีตประธานการประชุมรัฐมนตรีคลัง นักเศรษฐศาสตร์ และกลุ่มชนพื้นเมือง ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการ “Global Ethical Stocktake” ที่เน้นความเป็นธรรมในมิติทั้งสังคมและธรรมชาติ
กระนั้น ความสำคัญสูงสุดของ COP30 อย่าง NDCs จะไม่ได้ถูกตัดสินที่การประชุม แต่จะถูกกำหนดล่วงหน้าโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ โดย
โตนีย้ำว่า “เราไม่สามารถเจรจา NDCs ในที่ประชุม COP ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ประเทศต่าง ๆ ต้องกำหนดเอง เราทำได้เพียงรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งจะสะท้อนภาพการเมืองภายในแต่ละประเทศอย่างแท้จริง”
ในส่วนของประเทศไทย ยังไม่มีการประกาศแผน NDC ฉบับปรับปรุงอย่างชัดเจนในปี 2568 แม้จะมีเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2608 ซึ่งจำเป็นจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าไทยจะมีความเคลื่อนไหวในการเร่งรัดเป้าหมายปี 2030 หรือปี พ.ศ. 2573 ก่อนหรือระหว่างการประชุม COP30 หรือไม่.