สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ว่านายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล และนายโอลาฟ โชลซ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี แถลงร่วมกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่าได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นทั้ง 16 รัฐ ยกระดับมาตรการควบคุมทางสังคม เพื่อยับยั้งโควิด-19 ระลอกที่สี่ โดยการเพิ่มความเข้มงวดครั้งนี้จะเน้นผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งจะแทบไม่สามารถเข้าใช้บริการสถานที่สาธารณะแทบทุกประเภท ยกเว้นเพียงร้านขายของชำ ร้านขายยา และซูเปอร์มาร์เกต


นอกจากนี้ ยังจะมีมาตกรารบังคับสวมหน้ากากอนามัยในสถานศึกษา การจำกัดการรวมตัวของประชาชนในสถานที่สาธารณะ การปิดสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในพื้นที่ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อต่อประชากร 100,000 คน สูงกว่า 350 และมาตรการบังคับฉีดวัคซีน “ภายในต้นปี 2565” โดยมาตรการจะมีผลบังคับใช้ เมื่อผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ


ทั้งนี้ แมร์เคิลกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ “โอไมครอน” กำลังทำให้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่สี่ในเยอรมนี มีความรุนแรงมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ และระบบสาธารณสุขกำลังจะถึงจุดตึงตัวจนแบบรับภาระไม่ไหวแล้ว แม้อัตราการติดเชื้อต่อวัน “เริ่มทรงตัว” แต่ยังอยู่ในระดับสูงมาก นั่นคือประมาณ 60,000-70,000 คน


ขณะที่โชลซ์ซึ่งจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า เรียกร้องประชาชนออกไปฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เพื่อหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ร่วมกัน และยืนยันว่า โดยส่วนตัวเขาสนับสนุนการบังคับฉีดวัคซีน


ปัจจุบัน เยอรมนีซึ่งมีประชากรประมาณ 84 ล้านคน ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบแล้วประมาณ 68% อยู่ในระดับรั้งท้าย เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกด้วยกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES