วันหนึ่งหลังทำวัตรเย็น กำลังเดินกลับจากพระอุโบสถ เสียงโทรศัพท์สั่นดังๆ มีสายเรียกเข้า เปิดหน้าจอดู ชื่อโยมคนหนึ่งคุ้นกันมานาน จึงกดรับสายพร้อมพูดว่า “เจริญพรโยม สบายดีไหมหนอ?”     

คำตอบที่ปลายสายตอบกลับมา “พระอาจารย์ ทำไมชีวิตหนูมันเวรกรรมจริงๆ ทำไมหนูจึงเป็นอย่างงี้ เวรกรรมอะไรทำไมหนูต้องมาเจอคนแบบนี้ คนเห็นแก่ตัวน่ากลัวจริงๆ เมื่อไหร่ชีวิตหนูจะหมดเวร หมดกรรมเสียที หนูต้องทำบุญอะไรคะพระอาจารย์ หนูไม่ไหวแล้ว ทำดีไม่ได้ดีสักที” ฟังคำอุทานจากใจโยมจบ หายใจลึกเต็มปอด เริ่มตอบคำถามกลับว่า ค่อยๆ ฟังนะโยม จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง สมัยพระอาจารย์เป็นสามเณร หลวงตาท่านเล่านิทานให้ฟังว่า       

ในสมัยพระพุทธเจ้า “มีลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่ง เมื่อพ่อเขาตายลง เขาเป็นผู้บริหารกิจการครอบครัวทั้งหมดแทนพ่อ และปรนนิบัติเลี้ยงดูแม่เป็นอย่างดีแม่อยากจะให้เขาแต่งงาน แต่ลูกชายหนุ่มไม่ปรารถนาเช่นนั้น ตั้งใจว่าจะเลี้ยงมารดาให้ดีที่สุด แต่เมื่อแม่รบเร้ามากจึงต้องยอมตกลง แม่จึงได้พาไปสู่ขอหญิงจากครอบครัวหนึ่งมาเป็นภรรยาของเขา” แต่เวรกรรมอะไรไม่รู้ “ภรรยาเธอเป็นหมัน” ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ แม่จึงร้อนใจ เพราะความเชื่อของชาวอินเดียในสมัยนั้น ถ้าตระกูลใดไม่มีบุตร ตระกูลนั้นจะถึงความเสื่อม มารดาจึงอยากให้ลูกชายของตนมีภรรยาใหม่ แต่ลูกชายไม่ต้องการเช่นนั้น แม้จะถูกแม่รบเร้าเพียงใด เขาก็ยังยืนยันว่าไม่อยากมีภรรยาใหม่     

เมื่อภรรยารู้ว่าแม่สามีจะหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาใหม่ของสามีตน จึงคิดว่า “ถ้าถึงเวลานั้น เราก็จะหมดความหมาย อาจจะถูกลดฐานะลงเป็นคนรับใช้ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น สู้เราไปหาหญิงที่เราพอใจให้มาเป็นภรรยาน้อยของสามีเราจะดีกว่า” แล้วนางก็ได้กระทำตามที่นางต้องการจนสำเร็จ     

ต่อมาภรรยาหลวงระแวงว่า ถ้าภรรยาน้อยให้กำเนิดบุตร เขาก็จะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพียงผู้เดียว เมื่อความริษยาเกิดขึ้น นางจึงหาทางที่จะไม่ให้ภรรยาน้อยให้กำเนิดบุตร โดยกำชับภรรยาน้อยว่า “ถ้าเธอตั้งครรภ์เมื่อไร ช่วยบอกให้ฉันรู้ด้วยนะ” เมื่อภรรยาน้อยตั้งครรภ์จึงได้บอกภรรยาหลวง นางแสร้งทำเป็นเอาอกเอาใจ นำข้าวปลาอาหารอย่างดีมาบำรุงภรรยาน้อย วันหนึ่งนางได้แอบผสมยา ที่ทำให้แท้งลูกลงไปในอาหาร ทำให้ลูกในครรภ์ตายสมใจนาง เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ภรรยาน้อยเกิดเฉลียวใจจึง ไม่ยอมให้ภรรยาหลวงรู้ กระทั่งครรภ์แก่ แต่ภรรยาหลวงก็ยังไม่ละความพยายาม ได้แอบเอายาที่ทำให้แท้งลูกใส่ลงไปในอาหารจนได้ ทำให้ภรรยาน้อยและลูกเสียชีวิตพร้อมกัน ก่อนตายภรรยาน้อยได้ผูกอาฆาตว่า “ขอให้เราได้เกิดเป็นนางยักษิณี เราจะมากินลูกของหญิงหมันนี้ในชาติต่อไป” 

เมื่อตายแล้ว ภรรยาน้อยได้ไปเกิดเป็นแมวอยู่ในบ้านสามี ส่วนสามีพอทราบว่า ภรรยาหลวงเป็นคนทำให้ภรรยาน้อยและลูกเสียชีวิต จึงได้ทุบตีภรรยาหลวงจนตาย ครั้นละโลกแล้วนางได้ไปเกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในบ้านนั้นเช่นกัน ต่อมาแม่ไก่ออกไข่หลายฟอง แมวก็มาขโมยกินไข่ ครั้งที่ 2 ก็ทำอย่างนั้นอีก ครั้งที่ 3 แมวมากินไข่และกินแม่ไก่ด้วย แม่ไก่จึงผูกอาฆาตจองเวรต่อไปอีกว่า “ให้เราได้กินแมวและลูกของมันบ้าง”     

จากนั้นไก่ตายไปได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง ส่วนแมวเมื่อตายไปแล้วได้เกิดเป็นแม่เนื้อ ครั้นแม่เนื้อออกลูก เสือเหลืองได้มากินลูกเนื้อถึง 2 ครั้ง และในครั้งที่ 3 มันกินทั้งแม่เนื้อและลูกเนื้อด้วย แม่เนื้อจึงผูกอาฆาตว่า “เกิดชาติหน้า ขอให้ได้กินแม่เสือเหลืองและลูกของมันบ้าง”      

แม่เนื้อตายไปได้เกิดเป็นนางยักษิณี ส่วนแม่เสือเหลืองเกิดเป็นหญิงอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เมื่อเจริญวัยได้แต่งงานและคลอดบุตร นางยักษิณีได้แปลงตัวเป็นมนุษย์ เข้าไปจับทารกกินถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 เมื่อหญิงนั้นมีครรภ์แก่ จึงให้สามีพาตนไปคลอดบุตรที่บ้านเกิด เพื่อหนีนางยักษิณี เมื่อนางยักษิณีรู้เข้า ก็รีบเดินทางตามไปทันที แต่หญิงนั้นคลอดบุตรแล้ว และกำลังจะเดินทางไปบ้านสามี ระหว่างทางได้แวะอาบน้ำที่ข้างวัดพระเชตวัน สามีก็ลงไปอาบน้ำ ส่วนตนยืนให้นมบุตรอยู่ริมฝั่ง เมื่อเห็นนางยักษิณี นางจำได้ จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในวัด        

ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท นางได้อุ้มบุตรเข้าไปหาพระพุทธองค์ แล้ววางลงข้างพระบาทพระศาสดา กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ขอถวายบุตรนี้แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดประทานชีวิต ให้แก่บุตรของข้าพระองค์ด้วยเถิด” ฝ่ายนางยักษิณีไม่สามารถเข้าไปในวัดได้ เนื่องจากสุมนเทพ ผู้สถิตอยู่ที่ซุ้มประตูไม่อนุญาต พระบรมศาสดาจึงรับสั่งให้พระอานนท์ เรียกนางยักษิณีเข้ามา เมื่อพร้อมหน้ากันแล้ว จึงตรัสถามว่า..     

“เพราะเหตุใด พวกเธอจึงจองเวรกันอย่างนี้ ถ้าหากพวกเธอไม่มาพบเราแล้ว เวรของพวกเธอจะเป็นเช่นนี้อยู่ชั่วกัป เหมือนเวรของงูกับพังพอน ของหมีกับไม้ตะคร้อ ของกากับนกเค้า เพราะฉะนั้นจงเลิกจองเวรกันเถิด เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ นางยักษิณีได้บรรลุโสดาปัตติผล ทั้งสองก็เลิกจองเวรกัน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา       

พระพุทธองค์ทรงสอน ให้เราระงับการจองเวร ในยามโกรธก็ให้มีสติ สงบระงับอารมณ์เอาไว้ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ใช้สติและปัญญา เราจะได้ไม่มีเวรมีภัยกับใคร ทรงสอนว่า “สัตบุรุษผู้มีความอดทนพึงได้ผล คือการไม่กระทบกระทั่ง เพราะสงบระงับจากเวร พระราชาพร้อมเหล่าเสนาแม้มาก เมื่อรบอยู่จะพึงได้ผลเช่นนั้นก็หาไม่ เพราะเวรทั้งหลาย ย่อมระงับได้ด้วยกำลังแห่งขันติ”       

ท่านสาธุชนทั้งหลาย การจองเวรกันนั้นเท่ากับให้ทุกข์แก่กัน ดังคำสอนใจที่เราคุ้นหูที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ลองหลับตาเบาๆ หายใจลึกๆ ทราบแล้วเปลี่ยนเป็น “ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นก็ถึงตัวเรา”   

เราควรให้อภัยซึ่งกันและกันเถิด อย่าได้เบียดเบียนกันเลย ในยามที่เขาผิดพลาดล่วงเกินเรา เราก็ควรมีความปรารถนาดี ไม่ผูกใจเจ็บจนเสียเวลาทำมาหากิน ปรับตัว ปรับใจ หันหน้าเข้าหากันให้เหมือนน้ำที่ประสานแผ่นดินที่แยกแตกระแหงให้เป็นผืนแผ่นเดียวกัน ให้มีความรักความสามัคคี สุขสวัสดีด้วยกัน

โควิดสายพันธุ์ใหม่มาแล้วนะโยม “โอไมครอน” ตั้งการ์ดให้ดี เดี๋ยวอาจจะไม่ทันได้ให้อภัยกัน

……………………………………..

คอลัมน์ : ลานธรรม

โดย : พระสุธีวชิรปฏิภาณ  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานพระธรรมวิทยากรเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี