“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยถึงกรณีการนำเสนอข่าวเรื่ององกรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก หรือ วาดา อาจจะยังไม่พอใจในการแก้กฎหมายของไทย ในเรื่องการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา โดยเฉพาะในกรณีการเข้าตรวจหาสารต้องห้ามในเวลากลางคืน และการแยกองค์กรควบคุมการใช้สารต้องห้ามออกเป็นองค์กรที่เป็นอิสระจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ว่า กกท. ได้มีการติดต่อประสานงานกับวาดามาโดยตลอด และได้รับการยืนยันจากวาดาแล้วว่าการแก้กฎหมายในเรื่องของการตรวจหาสารต้องห้ามได้ในทุกที่ทุกเวลา มีความสอดคล้องกับประมวลกฎการต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลกแล้ว และการดำเนินการตรวจหาสารต้องห้ามทางการกีฬา สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายใดๆ ซึ่งเป็นการยืนยันก่อนที่จะนำร่างกฎหมายฉบับแก้ไขนี้ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

ส่วนนักกีฬาที่ต้องทำการส่ง athlete whereabouts ซึ่งเป็นเพียงนักกีฬาจำนวนน้อย จะมีการลงนามรับทราบและตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ทุกคนอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะเป็นประเด็นที่ วาดา ยังมีข้อกังวลอีกต่อไป ทั้งนี้ วาดา ไม่ได้มีหน้าที่ในการตรวจหาสารต้องห้ามในนักกีฬา แต่มีหน้าที่กำกับให้การตรวจ ซึ่งกระทำโดยองค์กรต่อต้านสารต้องห้ามระดับนานาชาติ เช่น สหพันธ์กีฬานานาชาติ และระดับชาติ เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน

ผู้ว่าการ กกท. กล่าวต่อว่า ส่วนความเป็นอิสระขององค์กรต่อต้านสารต้องห้ามระดับชาติ วาดา ได้มีการออกแนวทางปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นความอิสระในด้านการดำเนินการ มิใช่ทางด้านโครงสร้าง https://www.wada-ama.org/en/resources/the-code/guide-for-the-operational-independence-of-national-anti-doping-organizations กล่าวคือ การตรวจหาสารต้องห้าม การพิจารณาโทษ การอนุญาตให้ใช้สารต้องห้ามในการรักษา และการให้ความรู้เรื่องสารต้องห้ามทางการกีฬา ต้องไม่มีการแทรกแซงจากองค์กรทางด้านกีฬาอื่นและรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมา วาดาได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอด และยังไม่ได้ให้มีการแก้ไขโครงสร้างแต่อย่างใด ส่วนในด้านการดำเนินการ สำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา กกท. ได้มีการดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวาดาเป็นที่เรียบร้อยไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้คำถามเรื่องความเป็นอิสระในการดำเนินการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาของประเทศไทย ไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการที่ประเทศไทยจะได้รับสิทธิทางการกีฬาคืนมาในครั้งนี้แต่อย่างใด