เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำนายสุรศักดิ์ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี พร้อมมารดาเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม หลังหลบหนีออกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้พื้นที่จังหวัดปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นสำนักงาน และถูกมาเฟียจีนตามข่มขู่คุกคาม แม้จะหนีกลับมาอยู่ฝั่งไทยแล้ว โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องดังกล่าว

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงที่ตนตกงาน ไม่มีงานทำ จึงได้เล่นโซเชียลพบเพจหางานในปอยเปต โฆษณารับสมัครงานได้ค่าตอบแทน 4 หมื่นบาท และไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จึงตัดสินใจไปทำงานเมื่อเดือน ก.ย. 64 เมื่อไปถึง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว มีผู้ชายชาวไทยเดินมารับลักลอบพาข้ามแดนผ่านทางช่องทางธรรมชาติด้านจังหวัดปอยเปต จากนั้นจึงนำไปส่งไว้ที่อาคารแห่งขึ้นใกล้ชายแดนกัมพูชา โดยในอาคารดังกล่าวพบว่า มีคนไทยถูกหลอกมาทำงานคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 100 ราย นอกจากนี้ยังมีชาวฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อีกเป็นจำนวนมาก

“จะมีการจัดที่พักอาศัยให้อยู่รวมห้อง 5 คน มีอาหารให้รับประทาน 3 มื้อ และแต่ละคนจะได้รับสมุดที่มีการบันทึกข้อมูลส่วนตัวจำนวน 200 รายชื่อ ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมีผู้ทำหน้าที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ดีเอสไอ และแบ่งแผนกชัดเจน เช่น คดียาเสพติด แผนกคดีฟอกเงิน และใช้โทรฯ หาเหยื่อหลอกแจ้งหมายเลขคดี หมายจับ และชื่อบุคคลที่กระทำผิด จากนั้นจะหลอกล่อเหยื่อโยงว่าเกี่ยวข้องกับผู้ที่กระทำผิด โดยสร้างบรรยากาศให้เหมือนอยู่ในสถานีตำรวจ เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อว่ากำลังคุยกับตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐจริงๆ” นายสุรศักดิ์ กล่าว

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ในแต่ละวันจะมีผู้หลงเชื่อโอนเงินให้วันละ 2-3 ล้านบาท เมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วจะให้ผู้ถือบัตรเอทีเอ็มที่อยู่ อ.อรัญประเทศ กดเงินออกมา ส่วนคนที่ถูกหลอกมาทำงาน หากใครไม่ยอมก็จะถูกผู้คุมซ้อมทำร้ายร่างกาย โดยผู้ชายจะถูกขู่ส่งไปลงเรือประมงชายทะเลสีหนุ ส่วนผู้หญิงจะถูกส่งไปค้าประเวณี และหากหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากตำรวจกัมพูชา จะถูกจับส่งตัวกลับไปที่เดิม แต่หากทำงานครบ 1 เดือน โดยไม่หลบหนีจะถือว่าผ่านการทดลองงาน และได้รับอนุญาตให้ออกนอกพื้นที่ เพื่อซื้อของใช้จำเป็นเดือนละ 1 ครั้ง ตนอยู่ครบกำหนด เขาอนุญาตให้ออกนอกพื้นที่ จึงลักลอบแอบนำโทรศัพท์ออกมาโทรฯ หาแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แม่จึงติดต่อไปที่เพจสายไหมต้องรอด จากนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่ของเพจสายไหมฯ มารับตัวกลับ

“มีครั้งหนึ่งคนไทยขอกู้เงินผ่านแอพของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่คนจีนที่เป็นบิ๊กบอสคุมอยู่ บอกว่าให้ผู้ชายคนนี้โอนเงินมาก่อนจึงจะให้กู้เงินตามจำนวนที่ต้องการ เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินประกันมาให้ แต่ถูกหลอก จึงวิดีโอคอลกลับมาถามแก๊งนี้ พร้อมทั้งขอเงินคืน แต่ถูกหัวหน้าแก๊งด่าว่าโง่ พร้อมหัวเราะใส่ ชายคนนั้นจึงเอาปืนยิงศีรษะผ่านวิดีโอคอล สร้างความสะเทือนใจกับคนที่ทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์มาก หลังจากเสร็จคดี ผมจะไม่ไปกัมพูชาอีกแล้ว และจะไปบวชอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ชายคนนี้ด้วย” นายสุรศักดิ์ กล่าว

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ทางเพจต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปช่วยเหลือผู้เสียหายที่เหลือ ซึ่งเพจหางานในปอยเปตยังเปิดอยู่ กลัวว่าจะมีคนหลงไปเป็นเหยื่ออีก หลังจากนี้นายสุรศักดิ์จะไปร้อง ปคม. และจะนำตัวเข้าสู่กระบวนคุมครองพยาน เนื่องจากถูกข่มขู่หลังออกมาแล้ว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต กล่าวว่า เหยื่อถูกหลอกลวงเพราะหลงเชื่อว่าจะได้ค่าตอบแทนถึงเดือน 40,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นการข้ามไปทำงานแบบผิดกฎหมายด้วยเพราะไปตามช่องทางธรรมชาติ ไม่ใช้พาสปอร์ต และมีนายหน้าชาวไทยเป็นคนติดต่อ ก่อนส่งให้แก๊งค้ามนุษย์มาเฟียชาวจีนที่ประเทศกัมพูชา และถูกพาไปกักตัวไว้ในอาคารที่มีรั้วไฟฟ้าป้องกันมิดชิด หากใครไม่ทำจะถูกซ้อมทรมานจนถึงแก่ความตาย

“คดีดังกล่าวเป็นคดีที่เริ่มต้นจากไทยต่อเนื่องไปยังต่างประเทศ และยังมีคนที่หลงเชื่อถูกหลอกอีกกว่า 100 คน จากการสอบถามพบว่ามีเงินได้จากการหลอกลวงนี้ไหลเข้าบริษัทดังกล่าววันละ 2-3 ล้านบาท โดยมีนายหน้าและตัวบงการเป็นชาวจีนอยู่เบื้องหลัง จึงประสานไปยัง ปคม. เพื่อให้ผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เพื่อดำเนินคดีกับแก๊งค้ามนุษย์ ส่วนกระทรวงยุติธรรมจะทำงานร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ต่อไป” ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤติ กล่าว