เมื่อวันที่ 1 มี.ค.65 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยภายหลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีผู้ต้องขังในประเทศไทยถูกบังคับให้ผลิตอวนให้กับบริษัทเอกชนโดยไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนว่า ที่ผ่านมาราชทัณฑ์เน้นการพัฒนาและฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง โดยใช้การพัฒนานำการควบคุม และคำนึงถึงความปลอดภัยในประเภทงานที่คัดเลือกให้ผู้ต้องขังฝึกทำจะต้องไม่มีอันตรายต่อสุขภาพของผู้ต้องขัง อีกทั้งกำหนดแนวทางจ้างงานด้วยการให้ผู้ต้องขังสมัครใจเข้ารับการฝึกวิชาชีพเอง สำหรับอัตราค่าจ้างของผู้ต้องขังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของประเภทงานเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความเป็นธรรม และคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังทุกคน นอกจากการจ้างงานแล้วกรมราชทัณฑ์ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาพฤตินิสัยอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงภายหลังพ้นโทษ อาทิ การฝึกอาชีพช่างไม้ ช่างประปา ช่างไฟฟ้า ช่างเสริมสวย เบเกอรี่ เป็นต้น ควบคู่กับการพัฒนาความเข้มแข็งด้านจิตใจ เช่น หลักสูตรสัคคสาสมาธิ การสวดมนต์และการเล่นดนตรีเพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจ รวมถึงการให้โอกาสด้านการศึกษากับผู้ต้องขังทุกระดับ

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่า แม้กรมราชทัณฑ์จะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของผู้ต้องขัง ดังนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับการทำงานของผู้ต้องขังทั้งระบบ ตนได้สั่งการปฏิรูปแรงงานผู้ต้องขัง โดยให้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาและคณะกรรมการปฏิรูประบบการทำงานผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ขึ้นในรูปแบบของคณะกรรมการฯ ของแต่ละเรือนจำ ประกอบด้วย สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุตสาหกรรมจังหวัด แรงงานจังหวัด ประชาสัมพันธ์จังหวัด และหอการค้าจังหวัด เพื่อศึกษาระบบการทำงานของผู้ต้องขังตามข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ของสหประชาชาติ และให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานความปลอดภัย ด้านสุขอนามัยและแรงงาน รวมถึงค่าตอบแทนต่างๆ ให้มีความเหมาะสม โปร่งใส และเป็นธรรมสอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งให้เรือนจำรายงานให้กรมราชทัณฑ์ทราบภายใน 15 วัน เพื่อยกเลิกการจ้างงานที่อัตราค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐาน และให้การทำงานสอดคล้องกับสภาพสังคม ความต้องการของตลาด รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทักษะการทำงานภายใต้กฎหมายแรงงานและหลักการสากลระหว่างประเทศด้านแรงงานมากขึ้น