เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปภาพรวม สถานกาณณ์โควิด-19 วันนี้ (15 มี.ค.) มีรายงานผู้เสียชีวิต 70 ราย พบว่า 47 ราย เป็นผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป มีผู้ป่วยติดเตียง 2 ราย มะเร็ง 3 ราย โรคไตระยะสุดท้าย 18 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ฉีดวัคซีนยังไม่ครบ 2 เข็มถึง 52 ราย จึงต้องพยายามฉีดวัคซีนให้มากขึ้น เพื่อลดอัตราป่วยตายล่าสุดได้มีการมอบนโยบายฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 3 ให้ผู้สูงอายุ ด้วยไฟเซอร์ครึ่งโด๊ส จากการศึกษาพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และลดผลข้างเคียง โดยในเดือน เม.ย.เป็นช่วงสงกรานต์ ลูกหลานจะกลับภูมิลำเนาเพื่อเยี่ยมผู้สูงอายุ ดังนั้น สธ.เตรียมการเพื่อความปลอดภัยแก่กลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์)มีรายละเอียดอาทิ

1.เดินหน้ารณรงค์สัปดาห์การฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่วันที่ 21-31 มี.ค. (save 608)โดยจะฉีดให้มากที่สุด ซึ่งได้มอบหมายให้รองปลัด สธ. ไปวางเป้าหมายการฉีดวัคซีนในแต่ละจังหวัด ทั้งนี้ ปัจจุบันมีคนมาฉีดวัคซีนประมาณวันละ 2 แสนราย แต่ศักยภาพในการฉีดสามารถทำได้หลักล้านราย

2.จัดกิจกรรม Self Clean Up คือกลุ่มที่จะเดินทางกลับไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านนั้น ก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ขอให้มีการระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด อย่าไปร่วมกลุ่มปาร์ตี้ หรือไปสถานที่แออัด พบปะผู้คนมากหลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงต่างๆก่อนกลับภูมิลำเนาให้ตรวจ ATK เพื่อลดความเสี่ยงนำโรคไปติดผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันผู้สูงอายุต้องฉีดวัคซีน โดยลูกหลานหากกลับไปเยี่ยมขอให้พาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่บูสเตอร์

“สายพันธุ์โอมิครอนขณะนี้โจมตีผู้สูงอายุมาก มีการป่วยและเสียชีวิตสูง แต่บางส่วนก็ไม่ได้เสียชีวิตจากโควิด เป็นการเสียชีวิตจากโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่แล้วจะเห็นว่าที่เสียชีวิตที่ไม่มีปอดอักเสบ 30% โดยหากฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มนี้ได้ดีซึ่งกำลังเร่งดำเนินการอยู่น่าจะควบคุมการเสียชีวิตได้ โดยกรมควบคุมโรคกำลังคำนวณเป้าหมายลดอัตราเสียชีวิตซึ่งหากฉีดเข็ม3 ผู้สูงอายุได้ถึง 50-60% การลดเสียชีวิตจะไม่ได้เป็นไปตามสัดส่วนการฉีดที่เพิ่มขึ้นแต่จะลดการเสียชีวิตได้แบบทวีคูณ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว.