นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (นายคิชิดะ ฟูมิโอะ) เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 1-2 พ.ค.65

นายกฯ ญี่ปุ่นมาเยือนไทยในรอบ 9 ปี คนไทยจึงเฝ้ามองเกี่ยวกับโอกาสทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับโรงงานของญี่ปุ่นปิดกิจการไปพอสมควร บางบริษัทย้ายฐานการผลิตออกไปต่างประเทศ

ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลหลักคือการรัฐประหารซ้ำซาก ปัญหานิติรัฐนิติธรรม คนไทยมีกำลังซื้อน้อย เนื่องจากช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จีดีพีโตเฉลี่ยแค่ปีละ 1% อยู่ในประเทศรั้งท้ายของอาเซียน แม้บางปีตัวเลขจีดีพีดูดีกว่าสิงคโปร์ และบรูไน แต่อย่าลืมว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัว/คน/เดือน ของชาวสิงคโปร์และบรูไน สูงกว่าคนไทยหลายเท่า

ยิ่งมาเจอโควิด-19 ระบาดตั้งแต่เดือน มี.ค.63 ถึงปัจจุบัน ตัวเลขคนจนในประเทศไทยจาก 13-14 ล้านคน (ก่อนโควิด) จึงพุ่งขึ้นมาถึง 20 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 66.17 ล้านคน (ม.ค.65) พูดง่าย ๆ ว่ามีคนจนเกือบ 1 ใน 3 ของประเทศ

“พยัคฆ์น้อย” พยายามติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการค้า การลงทุน ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. แต่ไม่มีข่าวไหนโดดเด่นเท่ากับรัฐบาลไทยกู้เงินจากญี่ปุ่น 5 หมื่นล้านเยน (13,235 ล้านบาท) ในลักษณะเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า เป็นยอดเงินกู้ใน พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่อนุมัติไปแล้ว

ไม่รู้ว่านายกฯ ญี่ปุ่นไปเยือนประเทศอื่น ๆ แล้วมีรายการขอกู้เงินแบบนี้หรือเปล่า? เรียกว่าหันไปหันมา พล.อ.ประยุทธ์ต้องกู้ เนื่องจากนายกฯ ญี่ปุ่นไม่ได้มาเยือนไทยหลายปี ไหน ๆ มาแล้วเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวจึงต้องกู้ จนหนี้สาธารณะใกล้ถึง 10 ล้านล้านบาทเข้าไปทุกที ส่วนหนี้ภาคครัวเรือนก็คงจะถึง 15 ล้านล้านบาทในเร็ว ๆ นี้

ROYAL THAI GOVERNMENT

ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่เดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน เนื่องจากรายได้ไม่ได้ปรับสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกลับโตพรวด ๆ ทั้งสิ่งอุปโภค บริโภค และค่าเดินทาง อยู่ในสภาพที่เรียกว่า “แพงทั้งแผ่นดิน”

ของกิน ของใช้ เชื้อเพลิงพลังงานขยับปรับขึ้นทันที เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 65 แม้จะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได ไม่ลอยตัวทันทีก็ตาม แต่ตอนนี้ข้าวของเครื่องใช้ หมูเห็ดเป็ดไก่ น้ำมัน แก๊สหุงต้ม ค่ารถโดยสาร ค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า ค่าปุ๋ย ค่าอาหารสัตว์ ฯลฯ ปรับขึ้นราคากันอย่างไม่เกรงใจประชาชนตาดำ ๆ

ส่วน “รัฐบาลชำรุดยุทธ์โทรม” ไม่ได้เตรียมการรับมือล่วงหน้าอะไรเลย! มีแต่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกออกมาเจื้อยแจ้วว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าที่ขยับตัวสูงขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วน กำชับให้แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมหาแนวทางช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม กำหนดเป็นมาตรการช่วยเหลือทั้งระยะสั้น ระยะยาว โดยไม่ให้กระทบกลไกตลาด

ถือว่านายกฯ สั่งแล้วนะ! แต่ไม่รู้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ช่วยชาวบ้านได้มากน้อยแค่ไหน? หรือว่าภาคภูมิใจกับราคาปาล์มพุ่งกระฉูด กก.ละ 11-12 บาท หมูเป็น ๆ หน้าฟาร์ม กก.ละ 100 บาท แต่หาหมูไม่ค่อยได้ ถ้าอยากได้หมูต้องจ่าย กก.ละ 105-106 บาท

ตอนนี้คนไทยแบกภาระ “แพงทั้งแผ่นดิน” โดยมี 2 อย่างที่ไม่แพงขึ้นคือ “ค่าแรง” และ “ข้าวเปลือก” ของชาวนา ตันละ 6,500-7,500 บาทหลายปีแล้ว จนมีเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ว่าบ้านของบรรดาผู้ส่งออกข้าวใช้ชักโครกทองคำกันทั้งนั้น!!

—————————-