การแถลงข่าวเปิดงาน “บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร” ภายใต้แนวคิด “เข้าถึงถ้วนหน้า ต่อยอดภูมิปัญญา พี่งพาตนเอง” เมื่อวันที่ 12 พ.ค.65 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นให้คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นด้านสาธารณสุข ไม่เพียงแต่ยาแผนปัจจุบันเท่านั้น ยังผลักดันให้มีการใช้ยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในระบบบริการสาธารณสุข เพื่อความมั่นคงทางยาและสนับสนุนการพึ่งพาตนเอง โดยกำหนดให้มีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรครอบคลุมยาจำเป็นที่ต้องใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน ปัจจุบันมีรายการยาจากสมุนไพรอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติจำนวน 94 รายการ รวมไปถึงยาจากกัญชา 8 รายการ ประกอบด้วย ตำรับยาแผนไทย 3 รายการ คือ ยาแก้ลม ยาแก้เส้น ยาศุขไสยาศน์, ยาทำลายพระสุเมรุ, ยาน้ำมันกัญชา 5 รายการ เช่น ยาน้ำมันกัญชาที่มีสารCBD(Cannabidiol) และสารTHC(Tetrahydrocannabinol) อัตรา 1:1 ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือมีอาการปวด ยาน้ำมันกัญชาที่มี สารCBD และสารTHC อัตรา 20:1 ในผู้ป่วยลมชักรักษายาก
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.65 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าการปลดพืชกัญชา กัญชง ออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เพื่อให้ประชาชนปลูกแบบจดแจ้งได้ในวันที่ 9 มิ.ย.65 ว่าด้วยการส่งเสริมให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ ดูแลสุขภาพระดับครัวเรือน การให้ประชาชนปลูกได้ในครัวเรือน เราก็ต้องแนะนำเพื่อไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ทางนันทนาการ ตามที่ระบุว่าการปลูกกัญชาในครัวเรือนจะต้องจดแจ้ง ลงทะเบียนซึ่งสามารถทำได้ผ่านแอพพลิเคชั่น “ปลูกกัญ” ในระหว่างที่รอ พ.ร.บ.กัญชาฯ จะออกมาบังคับใช้ เรามี พ.ร.บ.การสาธารณสุข ใช้ในการป้องปรามการนำไปใช้ในทางนันทนาการได้ เช่น การนำมาเสพที่มีกลิ่น ควัน ก็สามารถประกาศเป็นเขตรำคาญ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการฯกำลังดูเรื่องการขยาย พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงกัญชาด้วย
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.65 ที่ประชุมฯ มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. …. ในวาระแรกขั้นรับหลักการ ที่ประชุมฯ ลงมติรับหลักการด้วยคะแนน 373 เสียง ไม่รับหลักการ 7 เสียง งดออกเสียง 23 เสียง พร้อมให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ…จำนวน 25 คน แบ่งเป็นคณะรัฐมนตรี 5 คน ส.ส.รัฐบาล และฝ่ายค้าน 20 คน แปรญัตติ 15 วัน โดยใช้ร่าง พ.ร.บ.ฯ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กับคณะ ซึ่งเป็นร่างฯ พ.ร.บ.ฯหลักในการพิจารณาวาระสอง ขั้นแปรญัตติ
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.65 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 8 ก.พ.65 มีผลบังคับใช้แล้วในวันนี้ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาใน 120 วัน ทำให้ทุกส่วนของกัญชาและกัญชงไม่เป็นยาเสพติดอีกต่อไป ยกเว้นสารสกัด THC เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก ประชาชนจึงสามารถปลูกกัญชาได้และเสพ จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีกัญชา กัญชง ไว้ในครอบครองโดยไม่มีความผิดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามองค์กรทางการแพทย์ได้สะท้อนความเห็นถึงความกังวลและความห่วงใยของกัญชาที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ ไม่อาจละเลยหรือมองข้ามปัญหาสังคมอันใหญ่หลวงที่จะติดตามมาต่อเนื่องอีกยาวนาน เพราะเด็กและเยาวชนในวันนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า และจะเป็นกำลังสำคัญของชาติบ้านเมืองในอนาคต หากเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพทางกายและทางใจจากพิษภัยของกัญชาแล้ว ชาติบ้านเมืองยากที่จะดำรงอยู่อย่างทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีแถลงการณ์เรื่อง “ผลกระทบของกฎหมายกัญชาเสรีต่อสุขภาพเด็กและวัยรุ่น” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “… หากมีการนำกัญชาหรือสารสกัดกัญชามาใช้เป็นส่วนผสมของอาหารหรือการแปรรูปต่างๆ หรือให้มีการใช้กัญชาได้อย่างเสรีโดยไม่มีกฎหมายควบคุม ประชาชนก็จะมีโอกาสได้รับสารแคนนาบินอยด์เหล่านั้นเข้าไปจนอาจจะมีผลกระทบที่รุนแรง โดยเฉพาะผลกระทบต่อสมองของเด็กและวัยรุ่น เช่น พัฒนาการล่าช้า ปัญหาพฤติกรรม เชาวน์ปัญญาลดลง และส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ เช่น มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภท ภาวะฆ่าตัวตาย เสี่ยงต่อการติดสารเสพติดชนิดอื่นๆ รวมถึงส่งผลเสียต่อสุขภาพกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว…”
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับ สมาคมกุมารประสาทวิทยา (ประเทศไทย) ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ชมรมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กแห่งประเทศไทย มีความห่วงใยและตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงมีคำแนะนำเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากกัญชาต่อเด็กและวัยรุ่น ดังนี้
1. เด็กที่อายุน้อยกว่า 20 ปีไม่ควรเข้าถึงและบริโภคกัญชา เนื่องจากสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ และกัญชามีสาร THC ที่มีผลต่อสมองเต็กในระยะยาว ดังนั้นเด็กจึงไม่ควรได้รับ THC ยกเว้นกรณีมีความจำเป็นทางการแพทย์เช่น ประกอบการรักษาประคับประคองผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โรคลมชักรักษายาก ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
2. ให้มีการประชาสัมพันธ์กับประชาชนเรื่องโทษของการใช้กัญชากับสมองเด็ก เพื่อให้เกิดความตระหนักต่อการเข้าถึงกัญชาในเด็กและวัยรุ่นเพื่อนันทนาการว่ากัญชาเป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติด ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตในระยะเฉียบพลัน และอาจรุนแรงถึงกับชีวิตได้ รวมถึงมีผลกระทบในระยะยาวต่อสมอง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองที่กำลังพัฒนา
3. ให้มีมาตรการควบคุม การผลิต และขายอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาผสม และให้มีเครื่องหมาย ข้อความเตือนอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการใช้ในเด็กและวัยรุ่น โดยระบุ “ห้ามเด็กและเยาวขนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริโภค”
4. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์ ควบคุมไม่ให้มีการจงใจออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม เช่น ภาพการ์ตูน หรือใช้คำพูดสื่อไปในทางให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารหรือขนมที่เด็กและวัยรุ่นบริโภคได้
5. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการติดตามผลกระทบของกัญชาต่อเด็กอย่างต่อเนื่องและจริงจังหลังจากใช้กฎหมายกัญชาเสรี
เพื่อให้ผู้คนทั่วไปในสังคมได้ตระหนักรู้ถึงประโยชน์และโทษของกัญชาเพิ่มเติม จะขอสรุปข้อมูลของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
ประโยชน์ของกัญชานำมาใช้ในการรักษาโรค ได้แก่ บรรเทาอาการของโรคหอบหืดโดยมีสรรพคุณขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม, รักษาต้อหินซึ่งทำให้ความดันภายในลูกนัยน์ตาลดลง และอนุพันธ์กัญชาใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง อาจใช้เป็นสารกระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง ป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยเคมีบำบัด
โทษของการกัญชา ได้แก่ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมจนไม่สามารถประกอบกิจการงานใดๆได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงาน ความคิดและการตัดสินใจ รวมทั้งจะมีลักษณะหมดแรงจูงใจของชีวิต (Amotivation Syndrome) โดยไม่คิดทำอะไรเลย อยากอยู่เฉยๆไปวันๆ, ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การเสพติดกัญชามีผลร้ายคล้ายกับการติดเชื้อเอดส์ (HIV) ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเสื่อมลงหรือบกพร่อง ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย, ทำลายสมอง ผู้เสพบางรายสูญเสียความทรงจำเพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล หากผู้เสพเป็นผู้มีอาการของโรคจิตเภทหรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป, ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งปอดเนื่องจากผู้เสพจะอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึกนานหลายวินาที การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน เท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ซองหรือ 20 มวน สามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า และในกัญชายังมีสารเคมีที่เป็นอันตรายสามารถให้เกิดโรคมะเร็งได้, ทำร้ายทารกในครรภ์ ทำลายโครโมโซม ผู้หญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาจะพิการมีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ความผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม, ทำลายความรู้สึกทางเพศ เนื่องจากทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง ซึ่งทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ผู้เสพติดกัญชามักกลายเป็นคนขาดสมรรถภาพทางเพศ และทำลายสุขภาพจิตเนื่องจากทำให้ผู้เสพมีอาการเลื่อนลอย ฝันเฟื่อง ความคิดสับสนและมีอาการประสาทหลอนจนควบคุมตนเองไม่ได้ ถ้าเสพเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีอาการจิตเสื่อม
ข้อควรรู้เกี่ยวกับกัญชาเพิ่มเติม กัญชามีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมากมาย เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinnol หรือTHC) ซึ่งเป็นสารสำคัญและมีมากในช่อดอก มีฤทธิ์เสพติดและทำให้เสียสุขภาพได้ การใช้กัญชาปริมาณมากทำให้เกิดภาวะกัญชาเป็นพิษได้ เช่น อารมณ์ครื้นเครง หูแว่ว ระแวง หัวใจเต้นเร็ว การเคลื่อนไหวไม่ประสาน สูญเสียการตัดสินใจที่ดี ฯลฯ
การใช้กัญชามากและนานทำให้เกิดการเสพติดกัญชาได้ เช่น มีการดื้อยาหรือถอนยา ไม่หยุดใช้แม้จะเกิดปัญหาจากกัญชาแล้ว ฯลฯ การเสพติดกัญชาในระยะยาวทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ เช่น เชาวน์ปัญญาลดลง และเสี่ยงต่อการป่วย เป็นโรคจิต โรคไบโพลาร์ การฆ่าตัวตาย รวมทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีข้อคำแนะนำสำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูควรดูแลเด็กและเยาวชนไม่ให้ใช้กัญชาและให้ห่างจากสื่อโฆษณากัญชา
…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม