ทุกวันนี้ เห็นข่าว “อ.ทริป ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม. แล้วมีอะไรให้ตลกทุกที ..ไม่ใช่ตลกในสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม. ทำ แต่ตลกตรงพวกพยายามจะบอกว่า “ฉันก็ทำนะ” ออกมาหลังผู้ว่าฯ ทำโน่นทำนี่ อย่างเช่น กรณีดนตรีในสวน ที่ฮิตช่วง อ.ทริป เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ ใหม่ๆ (ตอนนี้ไม่รู้ยังฮิตหรือเปล่าเพราะเทศกาลหนังกลางแปลงมาแล้ว) มีสื่อทำข่าว มีคนเอาไปชื่นชมว่า มันเป็น soft power ที่ทำให้รู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความรื่นรมย์ และที่สำคัญ ฟรี เข้าถึงคนทุกระดับ

สักพักมาเลย… หน่วยทหารน่าจะหน่วยด้านดุริยางค์ทหารบก โชว์บ้างว่า “ทหารก็ไปเล่นดนตรีในสวนนะ” ก็ไม่รู้ใครไปดูกี่มากกี่น้อย เพราะเหมือน วงทหารสื่อไม่ค่อยจะรักเท่าไร ไม่ถ่ายคนดูให้เห็น เอาจริงอาจเยอะก็ได้ การคัดเลือกรูปหรือเนื้อหาลงสื่อมันก็มีอคติ รักชอบชังระดับหนึ่ง ..ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองบางครั้งอย่าเชื่อ (นี่พยายามเข้าข้างให้แล้ว) และเกทับอีก ว่า ทหารทำมาก่อน ที่หยุดๆ ไปช่วงหนึ่งก็เพราะโควิด พอกลับมาได้ก็เล่นตามปกติ

ก็แล้วแต่..เพียงแค่ว่า ก่อนหน้านี้คนไม่ค่อยรู้กันว่ามีหน่วยทหารเล่นฟรีโชว์ประชาชนอยู่ เพิ่งมารู้เอาตอนยุค “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ เป็น ผบ.ทบ. รู้เพราะมันมีตารางงานนี่แหละว่าไปเล่นอะไรกันที่ไหน แต่เท่าที่ติดตามข่าวสารมา นึกกันหัวแทบแตกว่ายุค “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือ ผบ.ทบ.ก่อนหน้านี้ เคยมีประชาสัมพันธ์หรือเปล่า ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็น ..พอมาบอกว่า “มีมาก่อน” หลัง อ.ทริปทำ ก็คงพอจะนึกออก ใครไม่ได้ภาพลักษณ์ที่ดี แถมมีแต่จะถูกเยาะเย้ยไยไพเอาซะอีก ว่า ..เพิ่งคิดได้เหรอว่า ทำอะไรมันต้องประชาสัมพันธ์ออกข่าว

น้องๆนร.ผดุงราษฎร์ ร่วมร้องเพลง “ดนตรีในสวน” เติมความสุ

พอมากรณีหนังกลางแปลง เรื่องแรกที่ กทม. จัดฉายไปคือ “2499 อันธพาลครองเมือง” แล้วก็ต่อเนื่องกันไปทั้งเดือน จัดหลายจุด เพื่อให้คนมาซึมซับวิถีแบบหนังขายยาเก่าๆ (ที่ฉายๆ ไปจะเข้าไคลแมกซ์ ตัดเข้าพ่อค้าขายยามาโฆษณายาว คนจะรอดูก็ไปไหนไม่ได้ แต่กรณีของ กทม.ไม่มีขายยาคั่น) มีของขบเคี้ยวแบบเก่าๆ ขาย เช่น ข้าวโพดคั่วเอง อ้อยควั่น นี่ยังคิดจะไปดูเรื่อง “สยามสแควร์” หนังวัยรุ่นปี 2527 อยู่เลย ..อยากเห็นบรรยากาศบ้านเมือง ย่านเที่ยวสมัยนั้น ..เรื่องการฉายหนังกลางแปลงนี่ตัวผู้ว่าฯ เองก็บอกว่า ส่วนหนึ่งเพื่อความบันเทิงสำหรับคนไร้บ้านด้วย อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆ ขายของได้ (แนวๆ ไม่ใช่ขึ้นโรงหนังมัลติเพล็กซ์ที่โรงหนังผูกขาดของขบเคี้ยว แถมยังแพง)

สักพัก..ไม่รู้ทหารคิดอะไรขึ้นมาอีก เลยมีภาพออกตามสื่อโซเชียลฯ ว่า มีการรับขวัญทหารใหม่โดยการให้ดูหนังกางแปลงเหมือนกัน ที่เอามาโชว์ๆ กันน่าจะหนังสงครามเรื่อง windtalker…ซึ่งมันเป็นกิจกรรมในค่าย จะจัดก็จัดไป นี่คือไม่ทราบวัตถุประสงค์จริงๆ ว่า จะเอามาอวดทางสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อ? พื้นที่ทหารมาแข่งกับพื้นที่พลเรือน ได้อะไรขึ้นมา? ภาพลักษณ์ทหารไม่ได้ดีขึ้นเลย ในการที่บอกว่า “พลเรือนจัดอะไรเราก็มีนะโว้ย” ..วิธีแก้ภาพลักษณ์ทหารที่ดีคือไปแก้เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร ทำคดีความทหารให้โปร่งใสดีกว่า หรือกระทั่งการแจกแจงความจำเป็น สเปกอาวุธ ผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกว่ามาทำอะไรแบบนี้

คือพูดกันแรงๆ มันเหมือนภาพของ “เด็กขี้อิจฉา” เห็นเพื่อนมีก็ต้องเกทับว่ากูก็มี จริงๆ ถ้าทหารอยากสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการที่จะบอกว่า “เราต้องมีกำลังพลเพื่อช่วยเหลือประชาชน” ก็ลองทำอะไรก่อนที่ อ.ทริป เขาจะทำดีไหม? นึกออกเร็วๆ ที่หน่วยทหารทำบ่อย ก็อย่างเช่น การเก็บผักตบชวา ที่เห็นทำกันทุกปี หรือกิจกรรมทหารพัฒนาอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำในกรุงเทพฯ ไอ้พวกนี้แหละ ที่เอามาพีอาร์ให้คนรับรู้ถึงความจำเป็นของการมีกำลังพลได้

นอกจากมีเรื่องการเกทับแล้ว ยังมีเรื่องการเคลม หรือโหน คือการเหมารวมว่าเป็นนโยบายของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง ที่การเมืองเชิงสร้างสรรค์ยุคใหม่ไม่ควรมี อันนี้มาที่ฝั่งรัฐบาลแล้ว โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ เห็นรัฐบาลให้ข่าวแล้วขำทุกที อย่างเช่นไป เคลมนักร้องสาวมิลลิ เรื่องกินข้าวเหนียวมะม่วงบนเทศกาลดนตรี Choachella ว่า “ส่งเสริมนโยบายรัฐบาลที่จะนำเอาอาหาร ซึ่งเป็นซอฟต์เพาเวอร์หนึ่งที่ประเทศไทยส่งเสริมไปเผยแพร่ระดับโลก” คนอ่านข่าวก็ได้แต่เบ้ปาก เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลยังมีคดีฟ้องร้องกับมิลลิอยู่เลย เรื่องที่นักร้องสาวไปแสดงความเห็นไม่เข้าหูเข้าตา แต่พอเขาได้หน้า คนเห่อกินข้าวเหนียวมะม่วงตาม กลายเป็นไปโหนซะอย่างนั้น

มิลลิไม่ได้ทำให้คนค้นหาข้าวเหนียวมะม่วงเยอะอย่างที่คาด  แต่เรื่องนี้ให้อะไรมากกว่าที่คิด

หรือกรณีเอกชนจัด ศึกแดงเดือด แข่งขันทีมแมนฯ ยูฯ-ลิเวอร์พูล ก็ไปโหนเข้าอีกว่า นายกฯ สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแลนด์มาร์คจัดกิจกรรม อีเวนต์สำคัญระดับโลก โดยเฉพาะการแข่งกีฬานานาชาติ รวมถึงผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ของไทย ..บางคนแถวๆ นี้ อ่านข่าวที่โฆษกรัฐบาลแถลงยังขำว่า “ไม่อายบ้างเหรอที่ไปโหนเขา”…นั่นคือข้างฝ่ายกีฬา ข้างฝ่ายกลุ่มหลากหลายทางเพศเขายังก่นด่ารัฐบาลอยู่เลยว่า ไปโหนขายละครวาย จะส่งเสริมเอกชนจัดทัวร์ตามรอยละครวาย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเองก็ไม่ได้ให้สิทธิทางกฎหมายกับกลุ่มหลากหลายทางเพศดีพอ อย่างสมรสเท่าเทียม ก็จะบิดตะกูดออกเป็น พ.ร.บ.คู่ชีวิตต่างหาก เหตุผลหนึ่งคือการแก้ ปพพ.มันยุ่งยาก และเรื่องรับสิทธิสวัสดิการคู่สมรสมันกฎหมายการเงิน แก้ยาก ต้องให้นายกฯ อนุมัติอีก

ถามว่า เอาจริงแล้ว องคาพยพของรัฐบาล ณ ขณะนี้มีศักยภาพพอในการบริหารจัดการซอฟต์เพาเวอร์เพื่อสร้างเศรษฐกิจหรือไม่? ส่วนตัวเชื่อว่า “ไม่มี” ซอฟต์เพาเวอร์มันคือการทำให้นิยมชมชอบและสร้างพฤติกรรมคล้อยตาม โดยเฉพาะเรื่องการบริโภคตาม แต่หันไปมองคนของรัฐบาลคือยังคิดแบบเก่าๆ ถ้าจะทำละครส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ คงเป็นละครปลุกใจ ประเภทยุคหลวงวิจิตรวาทการ ที่เห็นก็น่าเบ้ปากใส่แล้วว่า ..ยัดเยียดความคิด..นี่ก็อยากดูว่า กองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะให้งบทำหนังแนวไหน

ซอฟต์เพาเวอร์เป็นกระแสนิยมที่ตื่นตัวในช่วงนี้ว่า มันช่วยสร้างเศรษฐกิจได้ และสร้างความเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรมได้ …เอาเป็นว่า ถ้าไม่โหนหรือเกทับผู้ว่าฯ กทม. นี่อยากเห็นรัฐบาลทำอะไรเพื่อส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ดูหน่อย จะให้ติดตลาดได้มันต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่นะ ..มีแนวคิดจะส่งเสริมเอกชนเก่งๆ บ้างหรือไม่ แบบส่งเสริมจริงๆ ไม่ใช่รอเคลม รอโหน ..ซอฟต์เพาเวอร์ที่รัฐบาลน่าจะทำได้ดีคือ มวยไทย เพราะคนแก่ๆ ในขั้วรัฐบาลคงชอบดู กับเรื่องวัตถุมงคล คือการสร้างสตอรี่ของวัตถุมงคล และโน้มน้าวให้ต่างชาติเช่าบูชาได้ ..พวกเล่นพระเยอะนี่ ในสภา

ส่วนตัวบุคลิกผู้นำเอง เอาเป็นว่า “ถ้าอยากกลับมาใหม่อีกสมัยก็อย่าทำตัวแบบนี้” ยุคนี้คือยุคของการสื่อสารโน้มน้าวใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้เกียรติ อย่าง อ.ทริป มีคนไปชื่นชมแกหลายเรื่อง เจ้าตัวก็พูดชัดว่า บางเรื่องก็ผู้ว่าฯ คนก่อนทำไว้ดี หรือบางเรื่องอย่าง ทราฟฟี่ ฟองดูว์ สำหรับแจ้งจุดที่เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในกรุงเทพฯ ก็ไปเอาระบบมาจาก สวทช. ไม่มานั่งพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกว่า “ผมทำอย่างนี้ๆ ถ้าไม่มีผมเข้ามาบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร” มันเป็นบุคลิกคนแก่แบบกลัวคนไม่รัก เลยต้องขยันทวงบุญคุณ เดี๋ยวชาวบ้านลืม ว่างั้น

ชมเต็มๆ ช็อตนายกฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ใส่นักข่าว อ้างหยอกเล่น ชาวเน็ตวิจารณ์ขรม

แล้ว กิริยาห่ามๆ ของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็ควรลดๆ ลงบ้าง ไปเห็นตรวจงานที่กำแพงเพชร กินกล้วยไข่แล้วปาให้รัฐมนตรีที่เดินตามเก็บ หยิบหมวกมาดูแล้วปา …คือ มันไม่ใช่ภาพของผู้นำที่มีเกียรติ ..นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายกฯ ชอบเล่นห่ามๆ พอมันสะสมมากขึ้นก็มีผลต่อความนิยมชมชอบ ความเชื่อมั่น อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. บิ๊กตู่พูดเรื่องสามขาที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลายเป็นไม่มีใครเอามาพูดถึงขยายความต่อเลย อารมณ์ประมาณอีลุงนี่คุยอีกแล้ว ทำให้ได้ก่อนค่อยพูดเถอะ  ..เชื่อได้ว่า ถ้า อ.ทริป บอกยังทำอะไรที่ตั้งใจไม่ได้ คนรักเท่าผืนเสื่อจะหาข้อแก้ต่างให้ แต่ลองบิ๊กตู่พูดลักษณะเดียวกัน คนรุมด่าแน่ จบด้วยทำไม่ได้ก็ออกไป  

ก็อยากฝากให้รัฐบาลปรับเรื่องการใช้ซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อสร้างเศรษฐกิจและความนิยมในตัวเอง และบิ๊กตู่ก็ลดความห่ามลงบ้าง นี่พูดด้วยความหวังดี ถ้าจะให้คนชอบ..

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”