ต้นเดือนสิงหาคมนี้ มีภาพยนตร์แอ๊คชั่น ดราม่า ระทึกขวัญ ที่สื่อต่างชาติจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยเนื้อหาที่เป็นเรื่องใกล้ตัว โดยเฉพาะโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัส พ่วงไปกับสถานการณ์เลวร้ายสุด ๆ ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบิน บีบหัวใจผู้ชมให้ลุ้นกันไปตลอดเรื่อง นั่นก็คือ “Emergency Declaration”  หรือ “ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ” จากไฟลต์บินธรรมดาทั่วไปเดินทางจาก “กรุงโซล” มุ่งหน้าไป “ฮาวาย” แต่ระหว่างทางกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อมีผู้เสียชีวิตในเครื่องแบบปริศนา สร้างความหวาดกลัวและความโกลาหลไปทั้งลำ

สิ่งที่คร่าชีวิตคนบนเครื่องไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เป็นการระบาดของเชื้อโรคไวรัสตัวใหม่ ที่จะเล่นงานผู้ติดเชื้อให้ร่างกายอ่อนแอและเสียชีวิตไปในที่สุด เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกรายงานไปยังภาคพื้นดิน แทนที่จะนำเครื่องลงไปรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ กลับถูกปฏิเสธให้บินต่อไปเรื่อย ๆ แม้ “กัปตัน” จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งตามหลักสากลสนามบินต้องยินดีให้ลงจอด แต่ก็ยังโดนต่อต้าน-ขับไล่ ไม่ให้ลงจอดอย่างถึงที่สุด ไฟลต์มรณะลำนี้จะมีจุดจบอย่างไร สามารถติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น!!

จุดแข็งของ “Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ”
เรียกว่าเป็นหนังที่ใช้ต้นทุนการถ่ายทำสูงมากกว่า Train To Busan กว่า 3 เท่าตัว หรือประมาณ 28,000 ล้านวอน (784 ล้านบาท) เพื่อสร้างฉากหายนะบนท้องฟ้าให้เกิดความสมจริงที่สุด ตั้งแต่จัดเต็มถึงขั้นซื้อ “โบอิ้ง 777” ส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา นำมาผ่าครึ่งลำเพื่อให้เห็นภาพในเครื่องจริง ๆ ก่อนนำปรับแต่งด้วยเครื่องจักรเพื่อให้ตัวเครื่องหมุนได้ 360 องศา เวลาติดตั้งกล้องถ่ายก็จะเห็นอิริยาบทของเหล่านักแสดง ที่นั่งอยู่บนเบาะพลิกหมุนตีลังกาไปกับตัวเครื่องด้วย

ทีมเทคนิคพิเศษ-สตั๊นท์แมน ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับนักแสดงทุกคน สำหรับแฟนดาราเกาหลี คงต้องฟินแน่นอน 100% เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการรวมทีมนักแสดงชั้นแนวหน้าหลายคน ตั้งแต่ “ซงคังโฮ” (Parasite, Broker) , ฮีบยองฮอน (Ashfall) , จอนโดยอน (A Man and A Woman), คิมนัมกิล(Pandora) , พัคแฮจุน (The World of the Married), อิมชีวาน(Strangers From Hell) และ ซอลอินอา (Business Proposal)

การจัดวางโครงเรื่องมีความเข้มข้น เพราะต้องลุ้นกันชนิดหืดจับถึง 2 เหตุการณ์ในเวลาเดียวกัน คือ บนภาคพื้นดินที่เหล่าเจ้าหน้าที่ต้องสืบสวน หาที่มาที่ไปของเชื้อโรคร้าย กับอีกสถานการณ์ที่ต้องลุ้นว่า ใครจะรอดชีวิตจากเชื้อโรคร้ายที่แพร่กระจายอยู่บนเครื่องบิน ต้องขอยกนิ้วให้ “ฮันแจริม” ผู้กำกับมากฝีมือจากเรื่อง The Face Reader (2013) และ The King (2017) ที่กลับมาคราวนี้ ทำหนังเล่นกับอารมณ์ผู้ชมได้อย่างดุดันสุด ๆ

ความใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อย การใช้มุมภาพและการลำดับภาพ ถูกนำมาปรับใช้เพื่อให้มีสโคปที่ควบคุมได้ ดูแล้วไม่แอ๊คชั่นโอเวอร์เกินไป ส่งอารมณ์หนังให้ดูมีพลังอย่างน่าประหลาด นอกจากนี้ ช่วงท้ายเรื่องยังมีการนำฟุตเทจ การสนทนาระหว่างคนบนเครื่องกับญาติพี่น้อง (วีดีโอคอล์) ออกมาเรียบเรียงจัดวางได้อย่างลงตัว กลายเป็นซีนบีบอารมณ์ดราม่า ทำผู้ชมหลายท่านอินจัด ร่ำไห้เสียน้ำตาด้วยความสงสาร…

จุดอ่อน “Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ”
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีความสมบูรณ์แบบแทบทุกด้าน แต่ทว่าการปูเรื่องที่ค่อนข้างยาวนานในช่วงต้นเรื่อง และการผูกโยงปมให้เกิดสถานการณ์เชื่อมต่อกันไปมานั้น ผู้ชมต้องใช้สมาธิในการชมมากกว่าปกติ มิเช่นนั้น…ก็อาจต้องง่วงหลับคาโรงหนัง ด้วยบทสนาที่ยืดและยาว อีกทั้งการนำเสนอภาพและเรื่องราวแบบตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ชมแทบไม่ต้องคิดอะไรกันมากมายตามสูตรสำเร็จ เพื่อให้เข้าถึงคาแรกเตอร์ตัวละครสำคัญได้ง่าย ๆ โชคยังดีที่การพึ่งพาเหล่านักแสดงแม่เหล็กครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จเพราะต่างแสดงออกมาได้อย่างมืออาชีพ ทำให้อารมณ์ของหนังไปในทิศทางที่ต้องการได้ไม่ยากเย็น

4/5 กะโหลก สำหรับภาพยนตร์เกาหลีฟอร์มยักษ์ ยอมทุ่มทุนสร้างให้เกิดความสมจริงมากที่สุด เทียบชั้นฮอลลีวูดได้สบาย ๆ มีครบทุกอารมณ์ ใครที่ต้องนั่งเครื่องบินบ่อย ๆ จะรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้เขาทำออกมาเนียนขนาดไหน

———————————————————-

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพ จากเว็บไซต์ Youtube และ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล