เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศบค. ด่วน ภายหลังประชุม ก็มีข่าวว่าประชาชนไม่ค่อยพอใจอวัจนภาษาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมไปพอสมควร ที่แถลงข่าวแบบท่าทีเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งที่ทุกวันนี้โควิดติดกันวันนึงเกือบสี่พันคนเข้าไปแล้ว ห้องไอซียูก็ไม่พอ ปัญหาเรื่องวัคซีนก็ล่าช้า เลื่อนแล้วเลื่อนอีก แถมซิโนแวคที่เป็นวัคซีนหลักก็ไม่ใช่วัคซีนที่มีภาพลักษณ์ดีนัก

ปรากฏว่า ไอ้ความไม่พอใจยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นไปอีก เมื่อมีการ “ลักหลับ”ประกาศราชกิจจานุเบกษา กำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษ ให้มีการซีลแคมป์คนงาน 30 วันเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ( ดังที่เราเคยทราบว่า แคมป์คนงานก่อสร้างเป็นคลัสเตอร์ในหลายจุด ) แต่ปัญหาตั้งแต่เรื่องแคมป์ คือมีการแถลงข่าววันที่ 25 มิ.ย. แค่นั้นแหละ คนงานที่ไม่ได้ทำงานก็ทยอยออกจากแคมป์ไปหาอะไรทำที่บ้านนอกดีกว่า

กว่าทหารจะเข้าไปประจำจุดแคมป์คนงานวันที่ 26-27 มิ.ย.ก็สายไปแล้วหรือเปล่า ..แบบบอกลุงตู่ว่าเขาออกกันไปแล้วล่ะลุง…ข่าวจาก ตม.กาบเชิง ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ รายงานมาว่า นายจ้างเอาแรงงานกัมพูชาไปปล่อยไว้หลายจุดข้างทา ..แบบว่าให้ไปตายเอาดาบหน้าเอง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่จาก ตม.ต้องขอความร่วมมือให้นายจ้างพามาส่งที่ ตม.เพื่อผ่านมาตรการตรวจคัดกรอง นัยว่าไม่ให้กัมพูชามาชี้หน้าด่าเอาอีกว่า แรงงานติดโควิดจากไทยไปแพร่บ้านเขา

ส่วนที่กระจายออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ ก็มี แล้วถามว่าสกัดกันทันหรือไม่  ที่เขากลัวคือการเอาสายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย ที่แพร่ง่ายไปแพร่ต่อในต่างจังหวัด ซึ่งการแพทย์อะไรก็ไม่ได้พร้อมเท่า กทม. ( ขนาด กทม.มีความพร้อมเยอะที่สุดแล้วตอนนี้ยังเอาไม่ค่อยจะอยู่ จนโรงพยาบาลบางแห่งจะไม่รับตรวจโควิดแล้วเพราะไม่มีเตียงให้ ) คือปัญหาการปล่อยแรงงานออกนอกแคมป์นี่เห็นว่า รัฐบาล “คิดช้า”ไปหน่อย น่าจะทำตั้งแต่รู้ว่าระบาดในแคมป์คนงาน

ทีนี้ ปัญหาที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือ “เรื่องที่สำคัญดันไม่แถลงตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.” นั่นคือการสั่งประกาศห้ามร้านอาหารเปิดให้นั่งรับประทานในร้านอีกครั้งหนึ่ง ให้ทำส่งขายหรือให้คนมาซื้อหน้าร้านอย่างเดียว เปิดดูเฟซบุ๊กเห็นผู้ประกอบการหลายคนก่นด่าโคตรเหง้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังมาก เพราะไป “ลักหลับ”ออกราชกิจจาฯ เอากลางดึก แล้วใครมันจะเตรียมตัวทัน เปิดร้านได้สองอาทิตย์โดนปิดอีกแล้ว รู้ตัวก่อนล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมง

แล้วของสดของแห้งอะไรนี่เขาซื้อมาเตรียมกันแล้วจะทำยังไง ? ให้ ส.ส.รัฐบาลไปเหมาซื้อแบบปรุงสำเร็จมาแจกประชาชนไหมล่ะ ? แล้วร้านอาหารบางประเภท เช่นร้านอาหารญี่ปุ่น สต๊อกวัตถุดิบเขาแพงมากและมันต้องรับประทานในร้าน ( อย่างปลาดิบนี่สั่งกลับบ้านคือรสชาติไม่ได้แถมเสี่ยงติดเชื้อ ) หรือร้านบุฟเฟต์พวกยากินิคุ ( ปิ้งย่าง ) พวกร้านชาบู ที่ใช้เนื้อเกรดดีบุฟเฟต์หัวนึงแพงๆ สั่งเนื้อมาให้เขาระบายออกยังไงถ้าไม่ขายหน้าร้าน ?

คือการทำอะไรฉุกละหุกแบบนี้มันทำให้คนเตรียมตัวกันไม่ทัน มันประจานความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารสถานการณ์เข้าไปอีก จนเห็นมีความเห็นหนึ่งเหน็บแนมมา อ่านแล้วก็ได้แต่ขำขื่นไปด้วยว่า “นี่เหรอคนที่จะทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กะอีแค่บริหารประเทศหลังประกาศยุทธศาสตร์เปิดประเทศใน 120 วันก็ยังทำไม่รอด” อันนี้มีความเห็นอย่างไรแล้วแต่แต่ละท่านพิจารณาดูเอาเองล่ะกัน 

แล้วทีนี้รัฐบาลควรทำอย่างไร ? ให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ จากการฟังๆ หลายๆ เสียงมา เขาบอกว่า เขาไม่มีความมั่นใจในวัคซีนตัวหลักของรัฐบาล คือ ซิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตจากนวัตกรรมเชื้อตาย และก็มีข่าวประเทศที่ใช้ซิโนแวคแล้ไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค อย่างชิลี อินโดนีเซีย ดังนั้น ก็อยากให้รัฐบาลถ่างตาดูตัวอย่างในต่างประเทศ ถ่างหูรับฟังประชาชนบ้างว่าเขาไม่มั่นใจในวัคซีนตัวนี้

เลิกเสียทีวาทกรรมประโลมโลกย์ประเภท วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่เรามี วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่เข้าร่างเราเร็วที่สุด ใช้สามัญสำนึกก็เข้าใจได้ว่า “วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่อารยะประเทศเขายอมรับว่าดีที่สุด” เห็นหมอบางคนออกมาอ้อมๆ แอ้มๆ พูดแล้วว่าถ้าจะกระตุ้นภูมิน่าจะต้องฉีดซิโนแวคสามเข็ม คนก็ถามว่า ซิโนแวคมันก็ไม่ใช่ถูกๆ แล้วทำไมไม่เอาไฟเซอร์มาแต่แรก เรื่องไฟเซอร์นี่ก็ต้องให้เรียกร้องกันหนัก ๆ ถึงจะนำเข้า แต่ก็เห็นว่าอีกหลายเดือน

แล้วก็มีปัญหาอ้างกันอีกว่า เราไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีนไปเร่งของไม่ได้ สายขี้สงสัยเขาก็งงว่า ทำไมซิโนฟาร์มเร่งรัดได้ ? เห็นเริ่มฉีดกันไปแล้วด้วย หรือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ผลิตไฟเซอร์มันแย่ขนาดที่เราต่อรองอะไรไม่ได้เลย เขาก็ย้อนไปตั้งแต่ตอนสั่งซื้อวัคซีนว่า แล้วทำไมตอนนั้นไม่คิดถึงความเสี่ยง ไปแทงม้าแค่วัคซีนตัวเดียวหรือสองตัว แล้วพอมาวันนี้จะป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลตาหรือเบตา ( แอฟริกาใต้ ) ได้หรือไม่

อันดับต่อมาที่เขาอยากให้รัฐบาลทำ คือ การออกนโยบายอะไรอย่ากลับไปกลับมา เพราะผู้ประกอบการทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วที่ กทม.ออกมาพูดก่อนว่า ร้านนวด , คลินิกความงาม , พิพิธภัณฑ์ให้เปิดได้ คนก็เข้าใจมาตั้งนานว่าเป็นอำนาจท้องถิ่นสั่งได้ แต่อยู่ๆ โดน ศบค.เบรกโครมว่า ต้องพิจารณาก่อน แล้วถึงอนุญาตให้เปิด 14 มิ.ย. คือนโยบายอะไรมันควรมีการให้ประชาชนได้เตรียมตัวมาก ไม่ใช่ลักหลับออกราชกิจจาฯ กันตอนดึกๆ

ฟังคนรู้จักที่ประกอบกิจการร้านอาหารเขาบอกว่า “ลักหลับออกราชกิจจาฯ ห้ามนั่งกินในร้านนี่เจ็บกว่าลักหลับออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสมัยรัฐบาลปูซะอีกนะ” เพราะมันกระทบปากท้องเขาเลยไม่ใช่แค่กระทบ “จริตทางศีลธรรม” ผู้ประกอบการรายเดิม ( และรายอื่น ) ฝากถามว่า คราวนี้รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร เพราะมีแต่สั่งๆๆ ให้ทำตาม ให้ทนเจ็บกันไปก่อน จะให้ซอฟต์โลนบ้าง มาตรการแก้หนี้ลดดอกบ้าง แต่คราวนี้กู้มาห้าแสนล้านนี่ช่วยอย่างไร ?

ฝ่ายฮาร์ดคอร์เขาก็ว่า การบริหารออกคำสั่งกลับไปกลับมา วัคซีนซื้อแบบไม่ฟังเสียงประชาชน ( คนไม่อยากได้ซิโนแวคก็เห็นยังตะบี้ตะบันสั่งมา ) วิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้คือ “ไม่ไหวก็ออกไปเถอะ ยื้อก็เหมือนจะเหนื่อยกันทุกฝ่าย” โดยเขาให้วิธีง่ายๆ คือ ถ้าท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายเห็นแก่ประชาชนจริงอย่างที่ปากพูด ก็ต้องเข้าใจว่า สถานการณ์ตอนนี้คนไม่ค่อยไว้ใจให้รัฐบาลปัจจุบันนี้บริหารแล้ว ก็เปลี่ยนรัฐบาล

วิธีที่เร็วที่สุดคือ เสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญ ม.272 เข้าไปอีกรอบสิ ตัดเสียง ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ เสีย ซึ่ง ส.ว.ก็ไม่รู้จะหวงอำนาจนี้ไว้ทำไมถ้าไม่ใช่ “ต่างตอบแทน”ที่ใครให้ตำแหน่งทางการเมืองมา ผ่านวาระแรกแปรญัตติ 15 วันแล้วเข้าวาระสองวาระสาม ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ลาออกเลย เพื่อให้เกิดการเลือกนายกฯ ใหม่ในสภาแล้วทีนี้ก็ลองเปลี่ยนขั้วอำนาจดูว่า ขั้วใหม่ที่เขาตรวจสอบรัฐบาลอยู่ จะเข้ามาทำแล้วดีขึ้นหรือไม่

บางคนเขาว่าเปลี่ยนม้ากลางศึกไม่ดี แต่ถ้าม้าสู้ศึกไม่ไหวก็น่าจะลองเปลี่ยนไหมล่ะ.

………………………………….
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”