เป็นดาวดวงใหม่ที่น่าจับตามอง สำหรับ เอินเอิน-ฟาติมา เดชะวลีกุล สาวน้อยหน้าใส มากความสามารถ จาก จ.อุบลราชธานี ที่แจ้งเกิดจากเวทีประกวด “เดอะสตาร์ ไอดอล” จนวันนี้ได้ก้าวเท้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว มีทั้งผลงานซีรีส์ “My Sassy Princess เจ้าหญิง 2022” และผลงานเพลง “วันนี้ใส่สีอะไร” สัปดาห์นี้คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาด มีนัดพูดคุยกับนางเอกน้องใหม่ให้แฟน ๆ เดลินิวส์ ได้รู้จักกันแบบทุกซอก ทุกมุม

บทบาทของ เอินเอิน ใน My Sassy Princess เจ้าหญิง 2022?

“หนูจะอยู่ในเรื่อง My Sassy Princess เจ้าหญิง 2022 ตอน “ซินเดอเรลล่า” หนูรับบทเป็น “ซิน” แสดงคู่กับ พี่ แบงค์-ธิติ ค่ะ แล้วก็มีนักแสดงอีกหลาย ๆ คน จะมีเรื่องราวของครอบครัวที่ล้อเลียนซินเดอเรลล่าด้วย ว่าเราอยู่กับแม่เลี้ยง แล้วคุณพ่อก็ตาย เลยทำให้นางเอกซึ่งเคยอยู่กับพ่อแล้วสุขสบายในคฤหาสน์ กลายเป็นคุณหนูตกอับ ช่วงแรกเนื้อหาจะสนุก มีความตลก รักใส ๆ แต่เรื่องก็จะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ มีปมหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ทั้งพระเอก และนางเอก”

ต้องมารับบทนางเอกครั้งแรก กดดันไหม?

“กดดันอยู่แล้วค่ะ เพราะเราไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน แล้วต้องรับบทเป็นตัวดำเนินเรื่องเลย แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด และเต็มที่ที่สุดในทุก ๆ ซีน เราไม่คาดคิดว่าเราจะได้เล่น ซึ่งโชคดีที่ซินมีความขี้เล่น ความเด๋อ ความกวน ทะเล้น แต่ลึก ๆ ก็มีความซีเรียส และมีเป้าหมายในชีวิตก็เลยใกล้เคียงกับเรา”

ร่วมงานกับพระเอกมาแรงอย่าง แบงค์-ธิติ ?

“หนูชอบพี่เขาตั้งแต่ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน แล้วค่ะ ตอนแรกหนูกลัวพี่แบงค์ เพราะคิดว่าเขาจะเป็นพระเอกที่นิ่ง ๆ ตามสไตล์ไอดอล หนูเลยไม่กล้าเข้าหา แต่พอได้ทำงานด้วยกันเรื่อย ๆ ครึ่งเรื่อง ก็ค่อนข้างจะรีแลกซ์ เขาจะชอบแกล้งเอาบทหนูไปซ่อน เอาโทรศัพท์หนูไปซ่อน ซึ่งหนูเป็นคนขี้ลืม สมองปลาทองอยู่แล้ว แล้วเขาชอบขู่ว่าจะฟ้องแม่หนู ฯลฯ ซึ่งพี่แบงค์เก่งมาก ๆ มีซีนที่ต้องมีปัญหากับแม่ เป็นซีนที่พี่แบงค์กับพี่ลูกเกด-เมทนี ต้องปะทะกัน แล้วหนูต้องเข้าฉากด้วย แต่ไม่มีบทพูด พอหันมาดูคนในกอง ทุกคนน้ำตาไหลหมดเลย สุดยอดมากค่ะ ทำให้เราหยุดร้องไม่ได้ด้วย”

เอินเอินมีความฝันอยากใส่รองเท้าแก้วตั้งแต่เด็ก?

“ใช่ค่ะ ตอนเด็ก ๆ หนูเป็นคนบ้ารองเท้า จะมีรองเท้าที่คุณแม่ใส่ไปงานแต่งตลอด เป็นพลาสติกใส ๆ แล้วมีกากเพชร เวลาคุณแม่ออกไปทำงานเราก็วิ่งไปเอามาใส่ เพราะเราดูซินเดอเรลล่า เลยให้คุณแม่พาออกล่าไปหารองเท้าแก้ว แต่พอโตมาก็รู้ว่ามันไม่มีจริงหรอก ถึงมีก็คงใส่ไม่ได้ เพราะคงเจ็บมากแน่ ๆ พอได้มารับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ต้องขอบคุณโชคชะตา”

อัพเดทผลงานอื่น ๆ เพิ่งมีงานเพลงปล่อยมาด้วย?

“ชื่อเพลงว่า “วันนี้ใส่สีอะไร” เป็นเพลงเกี่ยวกับสีมงคล หนูดีใจมาก ๆ ค่ะ กับซิงเกิ้ลแรกในชีวิตของตัวเอง เราตั้งใจและทุ่มเทมาก ๆ เลยค่ะ เรียกว่าใช้เวลาทำเพลงนี้พอสมควรเลยค่ะ หนูภูมิใจจะนำเสนอเสียงกีตาร์คลาสสิก มาก ๆ เพราะมีโอกาสได้นำมาใส่ในเพลงป๊อป จากที่ปกติจะเป็นการบรรเลงเดี่ยว ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ”

ตอนประกวดเดอะสตาร์ ไอดอลก็ใช้กีตาร์คลาสสิก?

“ตอนแรกหนูไม่ยอมใช้กีตาร์คลาสสิกเลย เพราะใช้เวลาฝึกนาน มีความยาก ไม่เหมือนกีตาร์โปร่ง ที่สำคัญเลยคือ เล่นแล้วไม่มีคนฟัง เราเลยไม่อยากเล่นแล้ว จนมาเดอะสตาร์ ไอดอล รอบออดิชั่น หนูเลยลองดูอีกครั้ง เพราะอยากให้เด็กสมัยนี้หันมาสนใจกีตาร์คลาสสิก มากขึ้น”

ความฝันวัยเด็กคิดไหมว่าจะได้มาอยู่จุดนี้?

“เรามีเป้าหมายในชีวิตค่อนข้างชัดเจน ตั้งแต่ 4-5 ขวบ หนูมีความฝันว่าอยากทำงานตรงนี้ แต่เราไม่สามารถมากรุงเทพฯ ได้ เพราะอยู่ที่ จ.อุบลฯ ซึ่งหนูชอบดูละครเวทีมาก พี่ชายก็จะพามาดูตลอด เลยขอคุณแม่มาเรียนรัชดาลัย ซัมเมอร์แคมป์ และตอนนี้ก็ตัดสินใจสอบเข้าวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เอกเธียเตอร์ ด้วยค่ะ”

มีช่วงหนึ่งไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศด้วย?

“ก่อนหน้านี้พี่ชายคนโตไปเรียนก่อน คุณพ่อเลยเอา 4 พี่น้องไปอยู่ด้วยกันหมดเลย หนูเลยได้ไปเรียน ม.ต้น ที่อินเดีย และ ม.ปลาย ที่นิวซีแลนด์ ก็เจอคัลเจอร์ ช็อค เยอะมาก ตอนแรกที่ไปอินเดียกินอาหารไม่ได้ ติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ และตอนนั้นเราไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย ก็จะโดนเพื่อน ๆ แกล้ง จากสอบได้ที่ 2-3 ที่เมืองไทย ไปอยู่ที่นู่นเราได้ที่ 15 เลย จากนักเรียน 15 แล้วทุกคนก็ดูถูก เราก็จะถือสมุดกับดิกชันเนอรี่ติดตัวตลอด เพราะเขาไม่ให้ใช้เครื่องมือสื่อสาร เวลาเพื่อนพูดคำศัพท์แปลก ๆ ก็จะจด ทำอยู่อย่างนั้นเป็นปี จนก่อนเราจะออก เราขยับจากที่ 15 มาเป็นที่ 2 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ แต่การไปอยู่ที่นั่นก็ทำให้เราโตขึ้นมาก ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง จากเมื่อก่อน ป.6 แม่ยังอาบน้ำให้อยู่เลย”

ช่วงที่ย้ายไปอยู่ที่นิวซีแลนด์เป็นยังไงบ้าง?

“ก็โตขึ้นอีกระดับหนึ่งค่ะ เพราะอยู่ที่อินเดีย เราอยู่ รร.ประจำ แต่พอไปนิวซีแลนด์เราต้องเดินทางไปกลับเอง วันแรกแม่กับพี่ชายไปส่ง เขาบอกว่าจะอยู่ด้วย 5 วัน แล้วพอเลิกเรียนหนูโทรฯไปบอกให้แม่มารับ เขาบอกว่าอยู่อีกเมืองหนึ่งแล้ว กลับบ้านเองนะ พี่ชายก็ใจแข็งมาก บอกแม่ว่า ถ้าไม่ปล่อยน้องก็จะเดินทางเองไม่ได้ แล้วศูนย์รถบัสเขาจะปิดให้บริการตอน 5 โมงเย็น เลยขึ้นรถบัสรอบสุดท้าย แต่ปรากฏว่าขึ้นรถบัสผิดคัน แต่สำเนียงเราเป็นอินเดีย เขาก็ฟังเราไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็เลยตกใจน้ำตาแตก เลยขอร้องให้เขาช่วยไปส่งได้ไหม เลยได้กลับบ้าน หนูอยู่ที่นิวซีแลนด์ประมาณปีกว่า ๆ พอเจอโควิด-19 เลยกลับมาเมืองไทย”

แล้วตอนนี้แบ่งเวลายังไงต้องเรียนไปด้วย ทำงานด้วย?

“ต้องบายไปหลายงานเหมือนกัน เพราะลาไม่ได้ แต่เราเป็นวัยที่ต้องเรียนอยู่แล้ว หนูไม่อยากดร็อป เพราะด้วยความที่เราเป็นเดอะสตาร์ไอดอล ก็จะมีน้อง ๆ แฟนคลับ ไม่อยากให้เขาทิ้งการเรียนเหมือนกัน ส่วนงานก็แบ่งเวลาทำได้ แต่ก็จะเลือกเรียนเป็นหลักก่อน เพราะเรามีเวลาในมหาวิทยาลัยแค่ 4 ปี เอง”

คำว่า “ไอดอล” ในมุมมองของ เอินเอิน?

“ไอดอลในมุมมองของหนู ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหล่อ คนสวย หรือเป็นคนที่โด่งดัง แต่คือคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา พ่อแม่ก็เป็นไอดอลของเราตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เรามีเขาเป็นไกด์ในชีวิตเรา เป็นเดโมของเรา และก็เลือกที่จะหยิบมุมมองบางอย่างของเขามาใช้ ทุกคนเป็นไอดอลของเราได้หมด”

ตอนนี้ต้องอยู่ไกลจากครอบครัวที่ จ.อุบลฯ?

“ตอนนี้หนูอยู่กรุงเทพฯ เป็นหลักค่ะ คุณแม่ก็จะมาอยู่ด้วย จริง ๆ ที่บ้านหนู ทำธุรกิจร้าน หงษ์ทอง ซุปเปอร์สโตร์ แล้วก็เพิ่งเปิดร้านซุปตาร์ชาบู 2 สาขา ต้องนับถือคุณพ่อมาก ๆ เพราะคุณแม่กับลูก ๆ มาอยู่กรุงเทพฯ กันหมด คุณพ่อก็บอกว่าคิดถึงก็ต้องอดทน เพราะหนูก็ยังเดินตามทางความฝันของหนูอยู่ แล้วเป็นช่วงที่เรามีงานพอดี อาม่า อากง ก็อยู่ที่ต่างจังหวัด คุณพ่อเลยต้องดูแลทั้งร้าน แล้วก็อาม่า อากง ด้วย”

พอเข้าวงการเต็มตัวแล้ว ผู้ใหญ่หรือพี่ ๆ นักแสดงให้คำแนะนำยังไงบ้าง?

“จริง ๆ หนูยังไม่ค่อยรู้จักใครแต่พี่ ๆ ที่เราเคยร่วมด้วย ก็สอนอะไรเราเยอะ อย่างครั้งที่หนูต้องร้องเพลงกับ พี่ โตโน่-ภาคิน แล้วเล่นกีตาร์ผิด เพราะเราไม่มีเวลาซ้อม ทั้งเจ็บเข่า และเข้า รพ. เพราะอาหารเป็นพิษ เลยร้องไห้กับพี่โตโน่หลังเวที พี่โตโน่เลยพูดออกไมค์ตอนจบว่า “คนเราผิดพลาดกันได้ วันนี้อาจจะทำไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เราเอาใหม่ได้ ชีวิตเราไม่ได้จบแค่นี้ บางทีเราไม่ต้องถูกต้องเสมอไปก็ได้ แต่เราต้องเรียนรู้” ซึ่งหนูรู้เลยว่าพี่เขาตั้งใจพูดกับหนู ส่วน พี่บี้-เดอะสตาร์, พี่เบิร์ด-ธงชัย ก็ช่วยซัพพอร์ตหนูเยอะมาก หนูเป็นแค่เด็กอุบลฯคนหนึ่ง แต่พี่เขาให้โอกาสเราเยอะมากจริง ๆ”

เอินเอินวางเป้าหมายกับวงการบันเทิงยังไง?

“จริง ๆ หนูไม่ได้คาดหวังว่ามันจะได้หรือไม่ได้ แต่เป้าหมายและความฝันของหนูคือ อยากเป็นแบบ พี่ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก หรือ พี่ชมพู่-อารยา ที่เขาเป็นไอดอลเราตั้งแต่เด็ก หรือถ้าสามารถไปในเส้นทางของศิลปินได้ ก็อยากไปให้ไกลแบบ พี่ลิซ่า แบล็กพิงก์ เราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่วางไว้จะทำได้ขนาดไหน บางครั้งอาจจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็สู้ไว้ก่อน”

สุดท้ายอยากบอกอะไรกับแฟนคลับไหม?

“ตอนนี้ถึงแม้เราจะยังไม่ได้แมส ยังไม่ได้มีคนรู้จักเยอะ แต่ก็มีแฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาจากเวทีเดอะสตาร์ จนวันนี้เรามองว่าเขาเป็นญาติคนนึง เป็นพี่น้องคนนึง เป็นครอบครัวไปแล้ว หนูมีชื่อด้อมว่า “นาซ่า” เพราะว่าจะส่ง เอินเอิน ขึ้นไปบนดวงดาว ตอนนั้นหนูคุยกับพี่ชายว่าจะตั้งอะไรเกี่ยวกับดวงดาวดี เลยใช้ชื่อนี้ ก็อยากขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้ จริง ๆ หนูเป็นคนให้ความสำคัญกับแฟนคลับมาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะจำชื่อให้ได้ทุกคน แต่สมองก็ปลาทองมาก (ยิ้ม) บางทีพี่ ๆ เขาก็เซ็งว่าทำไมจำไม่ได้ จริง ๆ มีครั้งหนึ่งที่พี่แฟนคลับเขามาหาหนู แล้วลืมซื้อของมาให้ แล้วเขารีบกลับไปซื้อจนเกิดอุบัติเหตุ หนูก็เลยอัดคลิปส่งไปให้เขา ตอนนี้พี่เขาหายดีแล้วนะคะ จริง ๆ หนูไม่อยากได้ของ แต่อยากได้กำลังใจจากแฟนคลับ เรามาแลกเปลี่ยนกำลังใจกัน เขาก็ได้กำลังใจจากหนูไปทำงานต่อ หนูก็ได้กำลังใจจากเขาเหมือนกัน”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง