อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิฯ อาทิ พล.ต.ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการ คุณสุขิน เดอร์ปาลซิงห์ นฤหล้า กรรมการ ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการ รวมถึงที่ปรึกษามูลนิธิฯ อาทิ นพ.ทวีป ถูกจิตร คุณจริยา เจียมวิจิตร พล.ร.ท.นภดล สุธัมมสภา และคณะรวม 89 คน เดินทางไปประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน 2565 ในการประดิษฐานพระธรรมเป็นครั้งที่ 2 ที่เมืองลัคเนา และพระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี รัฐอุตตรประเทศ

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 อาจารย์สุจินต์ฯ และคณะ พร้อมด้วยคุณอาช่า สินธุ ประธานมูลนิธิพระธรรมประเทศอินเดีย และคุณอาคิล สินธุ เดินทางไปยังพระวิหารเชตวัน เพื่อกราบนมัสการแทบรอยพระบาทพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง

การเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ของอาจารย์สุจินต์ฯ และคณะ ณ พระวิหารเชตวันในครั้งนี้ มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในรัตนบุษยภาชน์ทองคำ (องค์จำลอง) เสด็จมาประทับเป็นการชั่วคราว ณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมืองสาวัตถี ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ประทับของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นระยะเวลานานถึง 19 พรรษา

เมื่ออาจารย์สุจินต์ฯ และคณะเดินทางไปถึงพระวิหารเชตวันแล้ว พล.ต.ดร.วีระ พลวัฒน์ ได้อัญเชิญพระรัตนบุษยภาชน์ ที่มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ภายใน มายังอาจารย์สุจินต์ฯ เพื่อกราบสักการะ ต่อจากนั้นอาจารย์สุจินต์ฯ ได้นำคณะกล่าวคำบูชาพระวิหารเชตวัน ดังมีใจความว่า

“ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้พร้อมใจกัน เดินทางมาถึงพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี เพื่อกราบนมัสการแทบรอยพระบาท ที่สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ และทรงแสดงพระธรรม ข้าพเจ้า ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง ขอถึงพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา อันเป็นเหตุให้ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลา ละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสทั้งปวง จะดับหมดสิ้นไป”

จากนั้นคุณอาช่า สินธุ เป็นผู้กล่าวนำคำบูชาพระวิหารเชตวัน ด้วยภาษาฮินดี พร้อมๆ กับชาวอินเดียที่เดินทางมาร่วมการนมัสการและสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ที่พระวิหารเชตวัน ซึ่งเป็นครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อีกวาระหนึ่ง

หลังจากการกล่าวคำบูชาพระวิหารเชตวันเสร็จสิ้นแล้ว อาจารย์สุจินต์ฯ มีเมตตาให้ทุกคนได้เข้ากราบสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง

เมื่อเสร็จพิธีแล้ว อาจารย์สุจินต์ฯ เป็นผู้นำการสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ณ บริเวณใต้ร่มโพธิ์ใหญ่หลังพระคันธกุฎี พร้อมทั้งคุณอาช่า สินธุ ประธานมูลนิธิพระธรรมอินเดีย และคุณอาคิล สินธุ โดยมีคุณสุขิน เดอปาลซิงค์ นฤหล้า เป็นผู้แปลภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี มีใจความว่า

“วันนี้ก็เป็นวันหนึ่ง เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาลที่มีผู้ที่ได้เดินทางมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่นเลย แต่เพื่อได้รู้จักพระคุณที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสังสารวัฏ พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อให้มีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูก ซึ่งถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย จะคิดไม่ถึงเลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ได้ยินแต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าใจสักคำว่าตรัสรู้อะไรและธรรมคืออะไร?…

ขณะนี้ถึงเวลาที่ยากที่จะมีได้ในสังสารวัฏ แต่ละคำต้องเคารพสูงสุดในความจริง ในสัจจะ ไม่ใช่ทุกคำของพระองค์ให้เชื่อ แต่ให้ฟังไตร่ตรองว่า คำนั้นถูกหรือผิด จริงหรือไม่จริง นี่เป็นการเริ่มต้นของการเคารพในพระปัญญาคุณในพระบริสุทธิคุณและในพระมหากรุณาคุณที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีให้เราได้ฟังทุกคำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มิใช่ให้เชื่อ แต่ให้ฟังด้วยความเคารพ ถ้าฟังไม่เข้าใจ ไม่ไตร่ตรอง จะเป็นการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นการเข้าใจคำที่ได้ยิน จึงจะเป็นการเคารพ พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีทุกขณะ ไม่ว่าในกาลไหนๆ ในอดีตกาลนานแสนนานมาแล้ว และในขณะนี้และต่อไป ความจริงก็เปลี่ยนไม่ได้เลย…

ทุกคำต้องเข้าใจความจริงที่พระองค์ตรัสแล้วก็กำลังมีในขณะนี้แล้วก็พิสูจน์ว่า เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า? ขณะนี้ มีหลายคนมาก เหมือนกันไหม? คิดอย่างเดียวกันหรือเปล่า เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าใครคิดถูก ใครคิดผิด ใครคิดด้วยความเข้าใจหรือใครคิดด้วยความไม่รู้ ก็จะมีได้ต่อเมื่อมีการสนทนาธรรม ด้วยเหตุนี้ การสนทนาธรรม ก็เป็นการให้ทุกคนได้คิดพิจารณาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เชื่อใคร แต่ต้องเป็นความจริงที่ทุกคนเห็นว่าถูกต้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่ทำให้แต่ละอย่างเกิดขึ้น พระองค์จึงตรัสด้วยพระองค์เองว่า สิ่งที่มีจริง คือ ธรรมทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น จึงต้องเริ่มเข้าใจว่าธรรมคืออะไร?…

อธิษฐานบารมี มั่นคงในสิ่งที่เป็นจริง มีจริง ไม่ใช่มั่นคงต่อความไม่จริงที่เป็นเรา ถ้าไม่รู้ว่าอะไรจริง เปลี่ยนไม่ได้ จะมั่นคงในความจริงไหม? เพราะฉะนั้น นี่เป็นสัจจบารมี มั่นคงต่อความจริงว่าไม่มีเราแน่นอน เพราะว่า เพียงเห็นเกิดแล้วก็ดับ ได้ยินเกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย…

ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ต้องอดทนแล้วก็รู้ความลึกซึ้งแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น เพื่อความเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ มีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังเท่าไหร่ ก็มีความนอบน้อมเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เราได้ฟังความจริง…

ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสได้เข้าใจในพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวิหารเชตวัน แม้ว่าจะเป็นที่ที่พระองค์ได้ประทับแล้วก็ทรงแสดงพระธรรมนาน 19 พรรษา ก็จะไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น จะเห็นพระองค์ได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจเท่านั้น…”

อาจารย์สุจินต์ฯ เป็นผู้นำการสนทนาธรรม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2565 ที่ Revanta Hotel เมืองลัคเนา มีใจความว่า

“ยินดีที่ทุกคนได้มีโอกาสพิเศษที่ได้มีโอกาสได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ จะแสดงความเคารพใคร ก็ต้องเป็นการเคารพในคุณความดีของคนนั้นผู้ที่มีคุณสูงสุดไม่มีใครเปรียบได้เลย ณ กาลครั้งหนึ่งได้ประทับที่ประเทศนี้และได้ทรงแสดงพระธรรม ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มีคำที่จะทำให้คนอื่นได้รู้ประโยชน์ คนอื่นจะเคารพกราบไหว้อย่างยิ่งไหม? การกราบไหว้ต้องมาจากใจจริง ถ้าไม่รู้คุณสูงสุดของบุคคลนั้น การกราบไหว้ ก็เป็นเพียงเล็กน้อย เมื่อรู้คุณของผู้นั้น จึงกราบไหว้บูชาตามความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ต้องเป็นผู้ตรง ไม่ใช่เพียงยกมือกราบไหว้นมัสการ แต่ต้องเป็นใจที่นอบน้อมเคารพอย่างยิ่ง เพราะมีความเข้าใจในสิ่งซึ่งไม่สามารถจะมีความเข้าใจอย่างนี้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้…  

เพียงคำเดียว ก็แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟังคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ถ้าลืมคำนี้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจทุกคำและพิสูจน์ว่ามีจริงๆ เดี๋ยวนี้หรือเปล่า? คำสั้นๆ แต่ลึกซึ้งที่สุด ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นต้องเริ่มรู้จักธรรม ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ต้องเข้าใจไตร่ตรองว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ หรือเปล่า?…

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม สนทนาธรรมกับผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นั่งเฉยๆ หรือสนทนาเรื่องอื่น แต่ว่าสนทนาในสิ่งที่เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่จะรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความลึกซึ้งของสิ่งที่มี จึงต้องสนทนากับผู้ที่ไปเฝ้าหลายครั้งโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง…”

อาจารย์สุจินต์ฯ เป็นผู้นำการสนทนาธรรม เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2565 ที่ Lineage Hotel เมืองลัคเนา มีใจความว่า

“…ทุกคนต้องตาย เมื่อไหร่ ไม่รู้ ดูเหมือนความตายอีกไกลมาก แต่ว่าใครจะรู้บ้างว่า ต่อจากขณะนี้ อะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ อะไรจะเกิด เกิดได้แน่นอน เมื่อมีปัจจัย (สิ่งที่อุปการะเกื้อกูลให้เกิดขึ้น) โดยไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้น อะไรประเสริฐที่สุดในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่? การรู้ความจริง การเข้าใจความจริงถูกต้อง…

มีเหตุให้ได้ยิน ได้ยินก็เกิด มีเหตุให้เห็น เห็นก็เกิด มีเหตุให้คิด คิดก็เกิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ถ้าไม่ฟังจะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ทุกคนจะไม่พ้นจากความเจ็บความทุกข์ต่างๆ ในชีวิตซึ่งเกิดเมื่อไหร่ก็ได้   ถ้ามีการรู้ความจริงว่าทุกอย่างบังคับบัญชาไม่ได้ ถึงเวลาจะเกิด ก็ต้องเกิด ก็ทำให้ไม่เป็นทุกข์เท่ากับคนที่ไม่รู้ความจริง  เพราะฉะนั้น ความรู้ความจริง ก็จะทำให้ความทุกข์น้อยลง จนกระทั่งรู้ทั้งหมดประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ก็จะทำให้พ้นจากความทุกข์ได้…

ความจริงเป็นสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่าธรรม ธรรมมีมากไหม มีหลายชนิดไหม แต่ทั้งหมดต่างกันเป็น 2 ประเภท สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้เป็นสภาพรู้ ไม่รู้ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติเรียกสิ่งนั้นว่า นามธรรม, สภาพที่ไม่รู้เกิด จึงมี แต่ไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสภาพไม่รู้ นั้น เป็นรูปธรรม ถ้าไม่เข้าใจความจริงนี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ฟังคำของพระองค์ แล้วเข้าใจถูกต้องว่าเพราะเหตุใด พระองค์จึงตรัสรู้ความจริง เป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า…

เห็นพระคุณยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? เคยเห็นผิดมานานเท่าไหร่ทุกชาติในสังสารวัฏ แม้ก่อนจะได้ฟังพระธรรม ก็เห็นผิด แต่สามารถเริ่มเห็นถูกได้ จึงเคารพบูชาสูงสุดในผู้ที่ทำให้สามารถรู้ความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าฟังต่อไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งถึงวาระที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ เมื่อนั้นจะไม่มีความสงสัยในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า…”

…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม

อ่านเพิ่มเติม..
ประดิษฐานพระธรรมครั้งประวัติศาสตร์ หวนสู่ชมพูทวีป