นักการเมืองญี่ปุ่นซึ่งได้รับเลือกเข้าสู่รัฐบาล ต่างเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็น การล่วงละเมิดทางเพศ, พฤติกรรมของพวกรักชาติ และมุมมองที่ฝังรากลึกว่า “รัฐบาลเป็นโลกของผู้ชาย” กระนั้น ไซโตะ ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมอายุน้อยที่สุดในโครงการ ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิครอบครัวมุราคามิ กล่าวว่า โครงการนอกเวลาเช่นนี้ ทำให้เธอ “เข้าใกล้ความฝันไปอีกก้าว”
ปัจจุบัน สมาชิกในคณะรัฐมนตรี 19 คน ของนายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุ่น มีผู้หญิงเพียง 2 คนเท่านั้น อีกทั้งสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 465 คน เป็นผู้ชายมากถึง 90%
มูลนิธิครอบครัวมุราคามิ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว จัดสัมมนาหลายครั้งโดยบรรดานักการเมืองชั้นนำของประเทศ ให้กับผู้หญิง 20 คน ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลดังกล่าว ซึ่งผู้เข้าร่วมที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้สมัคร 200 คน จะได้รับทุนสนับสนุนเป็นเงินจำนวน 1 ล้านเยน (ราว 250,000 บาท)

“ฉันเริ่มสนใจที่จะเป็นนักการเมือง เพราะฉันคิดว่า ฉันสามารถให้ความหวังแก่คนพิการได้” ไซโตะ นักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ ผู้เข้ารับการผ่าตัดเพราะสูญเสียการได้ยิน กล่าวเสริมว่า มูลนิธิช่วยให้เธอสร้างเครือข่าย และเข้าใจ “ด้านดีและด้านไม่ดีของโลกการเมือง” ได้ดียิ่งขึ้น
“เราคิดว่าผู้หญิงไม่อยากเป็นนักการเมือง ทว่าในความเป็นจริง มันเป็นเพราะว่าไม่มีการสนับสนุนที่เพียงพอ” น.ส.เรย์ มุราคามิ เฟรนเซล ประธานมูลนิธิ วัย 28 ปี กล่าว และรู้สึกประหลาดใจที่มีคนจำนวนมากสมัครเข้าร่วมโครงการครั้งแรก ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 2565 ถึงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่ นางเซโกะ โนดะ อดีต รมว.กิจการภายในญี่ปุ่น และรมว.การส่งเสริมอำนาจสตรีญี่ปุ่น ผู้เคยลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) กับคิชิดะ และเป็นวิทยากรในโครงการนี้ กล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีหญิง และสิ่งนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลง
แม้การเลือกตั้งท้องถิ่นของญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา จะมีผู้หญิงลงสมัครมากเป็นประวัติการณ์ถึง 489 คน แต่มันกลับคิดเป็นสัดส่วนแค่ 16% ของจำนวนผู้สมัครทั้งหมด
ไซโตะ เคยประสบกับเหตุการณ์ที่นักการเมืองชายคนหนึ่งบอกว่า “อยากเห็นเธอเปลือยกาย” ซึ่งมันทำให้เธอตกใจมาก ทว่าเมื่อเธอนำเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศมาพูดในที่ประชุม สมาชิกคนอื่นกลับกล่าวดูถูก เพื่อทำให้เธอไม่สามารถพูดต่อไปได้ หรือบอกว่า คำถามของเธอ “แปลกเกินไป”
แม้ความพยายามของ ไซโตะ ในการล้มเลิกวัฒนธรรมของการจ้าง “สาวเสิร์ฟ” ในกิจกรรมทางการเมือง จะประสบความสำเร็จ แต่เธอยังคงรู้สึกว่า คนอื่นมองว่าเธอเป็น “คนแปลกแยก” ในระบบการเมือง และยอมรับว่า นักการเมืองหญิงหลายคนไม่สามารถพูดถึงเรื่องการล่วงละเมิดได้.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP