22 พ.ค.นี้…จะกลายเป็นวันประวัติศาสตร์อีกครั้ง!! ของสถานการณ์การเมืองไทย เพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของ “พรรคก้าวไกล” จะรวมตัวกันจดปากกาลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน

กว่า “เอ็มโอยู” จะลงตัว ก็ทำให้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ต่างหวาดผวา!! ด้วยเพราะรายละเอียดเนื้อหาของเอ็มโอยูกลับยึดหลักนโยบายของพรรคก้าวไกล เป็นหลัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการคืนความยุติธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากรัฐประหาร การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยไม่รวมความผิดคดีคอร์รัปชั่น และเป็นอันตรายต่อชีวิตและร่างกาย

ก็แน่ล่ะ…พรรคร่วมฯ ส่วนใหญ่ต่างย่อมไม่เห็นด้วยแน่ ๆ เพราะย่อมถูกมองไปว่าทำเพื่อ “นายใหญ่” แต่ถ้านำเสนอในนามของพรรคก้าวไกลเองในโอกาสหรือในวาระอื่น ก็ไม่น่ามีปัญหา

เช่นเดียวกับเรื่องของการ แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ในเอ็มโอยูนี้ ยังไม่ปรากฏในรายละเอียด และทุกพรรคร่วมรัฐบาล… ต่างก็ไม่ต้องการให้นำเรื่องนี้มาผูกมัดกันในเอ็มโอยู ด้วยเช่นกัน

ที่น่าสนใจ!! เห็นทีหนีไม่พ้นในเรื่องของการ “ยุติ” การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทันที ถ้าประพฤติในทางมิชอบ ซึ่งเรื่องของการประพฤติ “ชอบ” ดูจะเป็นซิกเนเจอร์ของพรรคก้าวไกลไปแล้ว ในสายตาประชาชนคนไทยในทุกวันนี้

แต่!! ก็อย่างว่า ความไม่แน่นอน… คือ ความแน่นอน ต่อให้มีเอ็มโอยูค้ำคอ แต่เมื่อถึงเวลา ความอยากได้อยากมี ก็คงเอาออกไปได้ยาก ตามสัจธรรมของความเป็นมนุษย์

ณ เวลานี้ เพียงแค่เชียร์ให้แผนการจัดตั้งรัฐบาล การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เดินหน้าได้ตามแผน ไม่ถูกบรรดาสมาชิกวุฒิสภา “ตีตก” กันไปซะก่อนก็น่าเพียงพอแล้ว

เพราะอย่าลืมว่า…หากทุกอย่างผิดแผน ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดคิด สารพัดปัญหาก็จะตามมาอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการผลักดันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ที่เบื้องต้นคาดกันอยู่แล้วว่าอาจต้องล่าช้าไปอย่างน้อยอีก 6 เดือนกันทีเดียว

เมื่อรัฐบาลชุดใหม่จัดตั้งได้ช้า งบประมาณรายจ่ายปี 67 ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาล่าช้า จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องชะลอตามไปด้วย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งการลงทุนจริง ๆ ในประเทศ และความเป็นไปของตลาดทุน

Free photo business partners handshake global corporate with technology concept

ประเด็นที่น่ากังวล คือ เมื่อเกิดความล่าช้าขึ้น งบประมาณที่รัฐบาลใหม่ จะนำมาใช้เพื่อลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสแรก ก็ชะลอไปด้วย ทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่หลายคนต้องการ

ต้องยอมรับว่า!! เรื่องของงบประมาณล่าช้า มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ มากกว่าใครที่จะเข้ามาเป็น รมว.คลัง หรือรองนายกฯ เศรษฐกิจ หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วยซ้ำ

จึงไม่ต้องแปลกใจ หากตลาดทุนจะไม่ยินดี…ยินร้าย…กับโฉมหน้าของรัฐบาลชุดใหม่กันสักเท่าใดนัก!! แถมตลอด 4-5 วันที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่า…ต่างชาติกลับทิ้งหุ้นไทยเป็นหมื่นล้านบาททีเดียวก็ว่าได้

ไม่เพียงแค่เรื่องงบประมาณ 67 ที่รัฐบาลใหม่ต้อง “ร่วมมือ” เดินหน้าผลักดันให้กฎหมายออกมาได้เร็วที่สุด นอกเหนือไปจาก “คำมั่นสัญญา” สารพัดที่ได้หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้

ปัญหาเรื่องของการส่งออก และหนี้ครัวเรือน ก็เป็นปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ไม่น้อยไปกว่านโยบายขายฝัน ที่หาเสียงเอาไว้เช่นกัน ควบคู่ไปกับการลดการขาดดุลทางการคลัง พร้อม ๆ กับการคุมไม่ให้หนี้สาธารณะมากมายจนเกินตัว

ผู้บริโภคกระอัก ค่าไฟไทยแพงที่สุดในอาเซียน - สภาองค์กรของผู้บริโภค

เช่นเดียวกับ…เรื่องของราคาค่าไฟฟ้าและค่าพลังงาน ที่พรรคก้าวไกล ได้หยิบยกนโยบาย ลดค่าไฟ 70 สตางค์ โดยให้คณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายพลังงาน เปลี่ยนนโยบายจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จากให้นายทุนก่อนเป็นให้ประชาชนก่อน มาเป็นนโยบายสำคัญ

ที่สำคัญเหนืออื่นใด!! เรื่องของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเก่าไปสู่รัฐบาลใหม่ ก็ต้องเป็นไปอย่างราบเรียบ ไม่ปัญหา!! เพราะไม่เช่นนั้น อะไร? อะไร?… ที่คาดหวังให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย ก็อาจ “หายวับ” แล้วหันไปหาเพื่อนบ้านแทนก็เป็นไปได้!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”