สุดท้าย…ณ เวลานี้ ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย หลังจากมีกระแสเสียงตอบรับจากบรรดาสมาชิกวุฒิสภาอย่างล้นเปี่ยม

วันที่ 22 ส.ค.นี้ เบื้องต้นได้ระบุกันออกมาดัง ๆ แล้วว่าจะเป็นวันที่ลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นรอบที่สาม หลังจากประชาชนคนไทยกว่า 39.29 ล้านคน หรือกว่า 75.22% ของคนทั้งประเทศ ได้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเลือกผู้แทนของตัวเองมาบริหารประเทศ

หากไม่มีอะไรพลิก!! นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยก็จะเดินหน้าได้ตามปกติในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารเศรษฐกิจ

แม้เบื้องต้นการจัดตั้งรัฐบาลจะยังคงเป็นพรรคร่วม 8 พรรค 278 เสียง ก่อนเพิ่มเป็น 315 เสียง หากพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาธิปไตยใหม่ ตอบรับ!! ก็ตาม

แต่พรรคแกนนำอย่าง “เพื่อไทย” ก็ประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาแน่!! เช่นเดียวกับการพักหนี้เกษตรกรทั้งต้น ทั้งดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 ปี รวมถึงการพักหนี้ให้กับบรรดาเอสเอ็มอี อีก 1 ปี

ยังไม่พอ!! ยังมีเรื่องของการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ให้อีกต่างหาก ขณะเดียวกันยังเตรียมต่อยอดด้วยชุดมาตรการของพรรคเพื่อไทย ตามที่เคยได้หาเสียงเอาไว้

ทั้งหมด… ยังต้องรอกระบวนการ รอการหลอมรวม รอการตกลงนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประกาศเป็นนโยบบายของรัฐบาลก่อนแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาอย่างเป็นทางการต่อไป

ที่ชัด ๆ การเดินหน้าเรื่องของการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีแน่นอน เพราะถือเป็นนโยบายที่เรียกคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยได้ไม่น้อย

บรรดากูรูทางด้านเศรษฐกิจ ต่างคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การแจกเงิน!! ก็คือ การแจกเงิน ซึ่งกระตุ้นกระตุกเศรษฐกิจในช่วงสั้น ๆ

ตามหลักการแล้ว หากมีการ “ใช้เงินแจก” ครั้งนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุดโดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ก็เป็นที่แน่นอน ว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแน่ ๆ เพราะทุก 1 แสนล้านบาท ที่อัดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ย่อมทำให้จีดีพี เพิ่มขึ้น 0.5-0.7% ต่อปี

หากนโยบายนี้…จัดเต็มคาราเบล ให้กับคนที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป กว่า 50 ล้านคน คนละ 10,000 บาท และไม่เลือกว่ามีฐานะอย่างไร คนจน คนรวย คนมีอันจะกิจ ได้รับเหมือนกันหมด มีการคาดการณ์กันว่าจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 5 แสนล้านบาท

นั่นเท่ากับ…ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก 2.5-3%!! ขณะที่ 1 ในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยก็คือ การทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ต้อง เติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำ 5% ต่อปี

Free photo close up hand holding smartphone

ทั้งนี้ทั้งนั้น พรรคเพื่อไทยได้หมายมั่นปั้นมือที่จะใช้นโยบายนี้เป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้เข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มตัว

หรือเรียกได้ว่า…เป็นการรับผิดชอบต่อนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วเงื่อนไขของเงินดิจิทัล หรือดิจิทัลวอลเล็ต จะแจกให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป

คนไทยที่ได้สิทธิ เพียงแค่ใช้บัตรประชาชน กับรหัสส่วนตัว เท่านั้น สามารถนำเงินไปใช้จ่ายเงินในรัศมี 4 ก.ม. แต่ก็ปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ ความหนาแน่นของร้านค้า การเดินทางของประชาชน

ที่สำคัญ!! ต้องไม่มีปัญหาเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตและการใช้โทรศัพท์มือถือ และกำหนดให้ใช้ภายใน 6 เดือนเท่านั้น !!

จนถึงวันนี้ เชื่อได้ว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะถูกเดินหน้าแน่นอน!! เพียงแต่หลายคนหลายฝ่าย โดยเฉพาะในบรรดาฝ่ายวิชาการ ที่มีคำถามเดิม ๆ ว่า เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทจะมาจากไหน?

เพราะ…งบประมาณปี 67 มีวงเงิน 3.35 ล้านบาท แถมยังต้องกู้มาโปะ งบที่ขาดดุลอีก 593,000 ล้านบาท นั่นเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีเงินงบประมาณเหลือพอที่จะนำไปแจก นอกจากต้องกู้ !!

นั่นหมายความว่า…ภาระการกู้เงินของรัฐบาลปี 67 ย่อมต้องเพิ่มเป็น 1.14 ล้านล้านบาท !! อย่าลืมว่าในช่วงที่ประเทศไทยเกิดโควิด รัฐบาลก็ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย 1.5 ล้านล้านบาท

Free photo beautiful cryptocurrwncy concept

แม้ว่าในเวลานี้เศรษฐกิจเริ่มโงหัวขึ้นมาได้บ้างแล้ว ในช่วง 9 เดือน ปีงบประมาณ 66 (ต.ค.65-มิ.ย.66) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ1.95 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 1.36 แสนล้านบาท หรือสูงกว่า 7.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.2%

ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวในช่วง 7 เดือนของปี 66 (ม.ค.-ก.ค.66) มีรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศรวมกันแล้วกว่า 1.08 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้จากการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่า 141,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังติดลบจากปีก่อน อยู่ 5.4% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 147,477 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 3.5% และไทยยังขาดดุลการค้า 6,307 ล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน นโยบายใช้เงินของรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากมายหลากหลาย ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องมารอดูฝีมือกันต่อไป

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”