อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุดังกล่าว ในแง่ “นโยบายรัฐบาล-นโยบายรัฐ” ก็น่าสนใจ โดย “รัฐบาลใหม่” ที่เพิ่งตั้งได้ไม่นาน เพิ่งมีการ “แถลงนโยบาย” ก็ได้ “ฮึ่มฮั่ม!!” เกี่ยวกับการ “ปราบผู้มีอิทธิพล-ปราบมาเฟีย” ซึ่งมาถึงวันนี้…ทางรัฐบาล ทางกระทรวง ทางหน่วยงานรัฐ ทางบุคคลในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง-ที่มีหน้าที่ มีความเคลื่อนไหวอย่างไรอีกบ้างหรือไม่????…ก็ดังที่ทราบ ๆ กัน แต่ที่แน่ ๆ…นี่ก็อีกเรื่องที่น่า “รอดู” รอดู…“ล้างบางอิทธิพล-ล้างมาเฟีย”…

เอาเข้าจริง “จะทำได้แค่ไหนอย่างไร??”

หรือ…“แค่พูด ๆ กันใหม่กับเรื่องเก่า??”

ทั้งนี้ “ปราบผู้มีอิทธิพล”… เมื่อมีการฮึ่มฮั่มขึ้นอีก…แต่ “ผู้คนยังมีปุจฉา??” ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในอดีต ในไทย โดยรัฐบาลไทยหลายยุค ก็ “เคยฮึ่มฮั่ม” แล้ว… “แต่แล้วก็ดังที่เห็น ๆ และเป็นอยู่!!” ซึ่งการฮึ่มฮั่มของทางการไทยในอดีต ก็เช่น… สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยุคนั้นมีการ “ตั้งกรรมการอาชญากรรมวิจัย” รับตรวจสอบเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนที่เดือดร้อนจากโจรผู้ร้าย-ผู้มีอิทธิพล… ถัดมาในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้ “นำอำนาจกฎหมายมาใช้แบบเด็ดขาด” อนุญาตให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีวางเพลิง-ยาเสพติด ซึ่งแค่ยุค 2 จอมพลนี้“มาเฟียน่าจะสิ้น??”

แต่คงจะดังที่พูดกัน…“เชื้อชั่วไม่มีวันตาย”

เพราะ…ในยุคต่อ ๆ มา ในยุคหลัง ๆ ก็ “ยังคงมีผู้มีอิทธิพลที่มีพฤติกรรมไม่สนกฎหมาย” และแนวคิด “ปราบผู้มีอิทธิพล” ก็ยังคงเป็น “นโยบายรัฐบาล” อีกหลายยุค อาทิ ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็เคย “ตั้งหน่วยเฉพาะกิจ” เพื่อ ปราบปรามอาชญากรรม อาวุธสงคราม ผู้มีอิทธิพล หรือยุครัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน ก็ได้ “ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล” ขึ้น รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการซื้อขายเสียงอีกด้วย

ส่วนอีก “ยุคจัดระเบียบผู้มีอิทธิพล” ที่เคยมีการกล่าวถึงมาก เป็นกระแสที่อยู่ในความสนใจของคนไทยมาก ก็คือในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการประกาศ “นโยบายปราบปรามยาเสพติด” ที่ผูกโยงเกี่ยวกับการ “ปราบปรามผู้มีอิทธิพล” ด้วยโดยรัฐบาลในสมัยนั้นระบุว่า…ปัญหายาเสพติดกับปัญหาผู้มีอิทธิพลมีการเชื่อมโยงกัน และทั้งสองปัญหานี้ก็ล้วนถือว่าเป็น “ภัยบ่อนทำลายชาติ” จึงมีการประกาศนโยบายแบบเข้ม ๆ ซึ่งในยุคนั้นก็ทำให้ “คนไทยฮือฮากันมาก”…

ทว่า “เชื้อชั่วไม่มีวันตาย” นี่ “คงจริง??”

“ยุครัฐบาลจากรัฐประหาร” ก็ “ยังมี??”

แม้แต่ในสมัย รัฐบาลยุค คสช. ที่นำโดย บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องให้ความสนใจเรื่องนี้ด้วย โดยหลังการทำรัฐประหารในปี 2557 ไม่นาน ก็มีการประกาศ “ยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพล” ภายใต้ “นโยบายจัดระเบียบสังคม” โดยมี มาเฟียถูกขึ้นบัญชีดำกว่า 6 พันราย ซึ่งมีการระบุไว้ว่า…ในจำนวนนี้ มีอดีตทหาร ตำรวจ นักการเมือง หัวคะแนน รวมอยู่ด้วย?? …แต่อย่างไรก็ตามล่วงเลยมาตั้ง 8-9 ปี มาถึงยุครัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ยุคนี้“กรณีมาเฟียก็ยังอื้ออึง!!”

ทั้งนี้ พลิกปูม “ความหมาย” คำว่า “ผู้มีอิทธิพล”… เคยมีเอกสาร กระทรวงมหาดไทย ปี 2529 ที่ให้ความหมายไว้ว่าคือ… ผู้กระทำความผิด ด้วยตนเอง เป็นผู้ใช้ จ้างวาน สนับสนุน โดยกระทำการอยู่เหนือกฎหมาย หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มิชอบด้วยกฎหมาย กดขี่ ข่มเหง รังแกประชาชน ที่เป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง และนอกจากนี้ก็ยังได้มีการแจกแจงถึง “พฤติการณ์อิทธิพล” ไว้ด้วยว่า… เป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้อง หรือมีพฤติการณ์ ดังนี้… 1.ตั้งบ่อนการพนัน 2.ตั้งซ่องโสเภณี 3.ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 4.สมคบเจ้าหน้าที่รัฐ หรือใช้อิทธิพลทางราชการ เพื่อแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบ 5.เรียกค่าคุ้มครอง บุคคล ทรัพย์สิน หรือกิจการต่าง ๆ

6.ประพฤติตนเป็นนักเลงอันธพาล หรือ เป็นธุระจัดหามือปืนรับจ้าง หรือ เลี้ยงชีพด้วยวิธีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรม อันดี 7.สะสมอาวุธ เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อการค้า หรือเตรียมไว้เพื่อทำผิด 8.เป็นผู้ค้า หรืออยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด รายใหญ่9.เป็นผู้ค้าของเถื่อน ของหนีภาษี

อย่างกรณี“บุหรี่เถื่อน” นั้น“ก็เข้าข่าย!!”

ถัดมา…10.เป็นนายทุนที่แสวงหาผลประโยชน์จากทางราชการโดยมิชอบ กักตุนสินค้า หรือผูกขาดการค้า โดยเอารัดเอาเปรียบประชาชน 11.ลักลอบฆ่าสัตว์ และค้าสัตว์ผิดกฎหมาย และ 12.ใช้อำนาจ หรืออิทธิพลในตำแหน่งหน้าที่ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ …เหล่านี้เป็นข้อมูลแบบทางการ… “ผู้มีอิทธิพล” และ “พฤติการณ์อิทธิพล”

ขณะที่ข้อมูลโดย ศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมและการฟอกเงิน จากที่เคยมีการทำวิจัย แยก “กลุ่มผู้มีอิทธิพล” ไว้ “4 กลุ่มหลัก” คือ… 1.ผู้มีอิทธิพลระดับท้องถิ่น 2.ผู้มีอิทธิพลประเภทเป็นข้าราชการ 3.ผู้มีอิทธิพลจากผู้ประกอบธุรกิจการค้า 4.ผู้มีอิทธิพลที่พัฒนามาจากนักเลงหัวไม้ …ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกลุ่มใด “ผลประโยชน์ผิดกฎหมาย” คือ “เป้าหลัก”…

“ผลประโยชน์” นี่แหละ “พลังอิทธิพล”

“ทั้งกับคนไร้สี” และก็ “รวมถึงคนมีสี”

รอดูซิ…“รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้??”.