“เศรษฐา ทวีสิน” เสร็จสิ้นภารกิจในเวทีระดับโลก พร้อมปิดตัว นายกฯป้ายแดง ต่อหน้าเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ หรือ ยูเอ็นจีเอ  ครั้งที่ 78 ที่นิวยอร์ก สหรัฐฯ ไปเรียบร้อยแล้ว

ถือเป็น… ภารกิจต่างแดน ภารกิจแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แบบชนิดที่เรียกว่า “สมราคา”

ไม่เพียงแค่!! การประกาศจุดยืนของไทยในเรื่องของโลกร้อน เรื่องสันติภาพ อากาศบริสุทธ์ ความมั่นคงทางอาหาร ปรัชญาเศรฐกิจพอเพียง หรือแม้แต่เรื่อง อาริยะเกษตร เท่านั้น

แต่ “นายกฯเศรษฐา” ยังประกาศให้โลกรู้อีกว่า เวลานี้ประเทศไทย “เปิดแล้ว” โดยเฉพาะ “นักลงทุน” ที่เชื่อมั่นว่า “ดอกผล” ของการออกไปปฎิบัติภารกิจครั้งนี้ อย่างน้อย… จะมีนักลงทุนหลายรายขนเงินเข้ามาลงทุนในไทยไม่ต่ำกว่ารายละ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ต้องยอมรับว่า… ภารกิจของนายกฯในครั้งนี้ ได้มีโอกาสพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนาดใหญ่ในหลายแวดวงธุรกิจ ทั้งบริษัทเทสล่า  ไมโครซอฟท์  เจ.พี.มอร์แกน  กูเกิล กองทุนแบล็กร็อก  โกลด์แมนแซค  รวมถึงเอสเต ลอเดอร์

แม้เวลานี้ คำตอบชัด ๆ คำยืนยันแน่ ๆ ยังไม่ได้เกิดขึ้นแบบมีการลงนามในสัญญาทันที ก็ตาม แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อย และสร้างความหวังให้ไทยอีกครั้ง หลังจากการลงทุนจริง ๆ แบบมีเงินลงทุนเข้ามาในไทย ได้ห่างเหินไปนาน

ไม่เพียงเท่านี้!! นายกฯเศรษฐา ยังเตรียมเหินฟ้าไปประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ  อีกรอบ

โดยรอบนี้…มีกำหนดการพบกับผู้บริหารระดับสูงอีกหลายบริษัทของสหรัฐฯ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม และ ภาคการเงิน

ที่สำคัญจะมีการเปิดให้ภาคธุรกิจไทย ที่สนใจและต้องการไปเปิดประตูการค้ากับต่างประเทศ ให้มีโอกาสไปพบปะกับบริษัทใหญ่ ๆ ของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

พูดง่าย ๆ ว่า นายกฯเศรษฐา ประกาศตัวทำหน้าที่ “เซลส์แมน” ของประเทศอย่างเต็มรูปแบบทันที ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่า ต่อจากนี้… “เงินลงทุนจากต่างประเทศ” ต้องพรั่งพรูหลั่งไหลเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง

เพราะที่ผ่านมา แม้ยังไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯคนที่ 30 อย่างเป็นทางการ ก็เดินหน้ากระตุกกระตุ้นเรื่องของการท่องเที่ยวมาก่อนเป็นอันดับแรก
จนทำให้มาตรการ “วีซ่า-ฟรี” สำหรับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน เป็นการชั่วคราว ได้คลอดออกมาเป็นมาตรการลำดับต้น ๆ ในการประชุมครม.นัดแรก

พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.นี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 29 ก.พ. ปีหน้า บรรดานักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน จะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าไทย หรือมาเที่ยวไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านั่นเอง!!

เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาล ก็เพื่อต้องการดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเที่ยวไทย โดยเฉพาะในช่วงวันชาติจีน หรือโกลเด้นวีค 1 – 8ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยว รวมยาวไปจนถึงเทศกาลตรุษจีนในเดือนก.พ. ปีหน้า ด้วย

โดยเชื่อว่า… เมื่ออำนวยความสะดวก เช่นนี้แล้ว  ในช่วง 5 เดือนจากนี้ไป มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5-7 แสนคน หรือตลอดทั้งปีนี้เชื่อว่าได้นักท่องเที่ยวจีนกว่า 4.2 ล้านคน

ส่วนนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการวีซ่า-ฟรี ครั้งนี้ไปด้วย โดยตั้งแต่ 1ม.ค.-10 ก.ย.ที่ผ่านมา  มีชาวคาซัคสถานมาเที่ยวไทยแล้ว 108,636 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาหลบหนาวที่จ.ภูเก็ต

เอาเป็นว่า…ทั้งการดึงนักท่องเที่ยว ทั้งการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญ ที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้ที่ 5%

ส่วนจะได้ตามที่ใฝ่ฝันไว้หรือเปล่า? คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะ…น้อยนัก!! ที่ทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”