แม้ความชัดเจน… จะออกมา ทั้งในเรื่องของแหล่งเงิน คนที่ได้รับสิทธิ พื้นที่ในการใช้จ่าย เงื่อนเวลาของโครงการ ประเภทของสินค้าในการใช้จ่าย หรือแม้แต่ช่องทางการใช้ ที่ผ่านแอปเป๋าตัง ก็ตาม
แต่!! ความชัดเจนที่ออกมา ก็เต็มไปด้วยคำถาม? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขของผู้ที่ได้รับสิทธิ ที่กำหนดว่า ต้องเป็นคนไทย อายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีเงินเดือน ไม่เกิน 70,000 บาท และมีบัญชีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันทุกบัญชี ไม่เกิน 5 แสนบาท
“นายกฯเศรษฐา” ชี้แจงไว้ว่า จุดประสงค์ของนโยบายนี้ คือ ทำให้ประชาชนได้รับสิทธิอย่างทั่วถึงมากที่สุด จึงเป็นไปได้ว่า บางครอบครัวที่มีรายได้จากคนเดียว ก็ควรได้รับสิทธิด้วย
จึงเป็นที่มา…ของตัวเลข 70,000 บาท ส่วนเลข 5 แสนบาท… ก็มาจากการคำนวณว่า… ถ้าคนเงินเดือน 70,000 บาท ทำให้ประเมินได้ว่า… คนที่มีเงินเก็บ 5 แสนบาท และ คนที่มีเงินเดือน 70,000 บาท เป็นคนกลุ่มเดียวกัน
การอนุมานความหมายของนายกฯเศรษฐา ในครั้งนี้ เชื่อหรือไม่ว่า มีแต่เสียง…กร่นด่า!!
เพราะนายกฯเศรษฐา ไม่รู้เลยว่า คนที่มีเงินเดือนไม่ถึง 70,000 บาท ก็สามารถมีเงินเก็บที่ฝากบัญชีไว้เกินกว่า 5 แสนบาท เป็นจำนวนไม่น้อย
เพราะอะไร? เพราะเขาเหล่านั้น ทำงานเก็บเงินมาเป็นเวลานาน!! สู้อุตส่าห์ เก็บหอมรอมริบ จึงสามารถเก็บเงิน ได้มากกว่า 5 แสนบาท!! บางคนอาจทำงานมากว่า 10 ปี 20 ปี หรือ เกือบเกษียณอายุด้วยซ้ำไป!!
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ประชาชนคนไทยจำนวนมาก ที่จะออกปากว่า ไม่ยุติธรรม!! นายกฯเศรษฐา ต้องไปเดินตลาด ไปเข้าร้านตัดผมข้างทาง ที่ตัดหัวละ ร้อย สองร้อย บาท
หรือไปกินก๋วยเตี๋ยว ตามร้านห้องแถวทั่วไป หรือลองนั่งมอเตอร์ไซค์วิน หรือลองนั่งแท็กซี่ และอีกมากมาย…ที่คนชั้นกลาง คนที่มีรายได้น้อย ที่ใช้ชีวิตแบบทั่วไป อาจไม่ใช่คนหาเช้ากินค่ำ อาจไม่ใช่แรงงานที่รอรับแรงงานขั้นต่ำ
แล้ว!! นายกฯเศรษฐา จะได้เข้าใจ ได้รับรู้ ว่าเงิน 10,000 บาท ก็มีความหมายกับคนเหล่านี้ อย่างไร?
อย่างน้อย… ประเภทสินค้า ที่รัฐบาลกำหนดไว้ กับวงเงิน 10,000 บาท ก็ช่วยทำให้ประหยัดค่าครองชีพได้ไม่น้อย บางคน อาจประหยัดได้ 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน
ที่สำคัญ!!! การคาดหวังให้ เงิน 10,000 บาท ที่ได้รับ เพื่อมาหมุนเศรษฐกิจ เพื่อเป็นตัวคูณให้เศรษฐกิจ ก็จะเป็นไปตามที่คาดหวังได้เช่นกัน
จึงไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า!! หลังจากที่นายกฯเศรษฐา ประกาศรายละเอียดของโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเลต 10,000 บาท ที่ออกมา ทำไมเสียงตอบรับ จึงไม่ใช่อย่างที่รัฐบาลคาดหวัง
อย่าว่าแต่คนเงินเดือนไม่ถึง 70,000 บาท และมีเงินในบัญชีเงินฝากทุกบัญชีไม่เกิน 5 แสนบาท ขนาดตลาดหุ้นไทย
ก็ยังไม่ตอบรับเหมือนเคย แถมยังลดลงไปถึง 15.40 จุด แถมดัชนียังหลุด 1,400 จุด อีกต่างหาก
ต่อให้….นายกฯเศรษฐา จะมีโครงการ E-refund ให้คนซื้อสินค้าไม่เกิน 5 หมื่นบาท สามารถขอคืนภาษีได้ มีผลเดือน ม.ค.2567 แต่ต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
ถามว่า!! ณ เวลานี้ คนที่เหล่านี้ จะมีสักเท่าใด? ที่เตรียมตัวนำเงิน 10,000 บาท ไปชอปปิง !! ในทางกลับกัน หากคนเหล่านี้ นำเงิน 10,000 บาท ไปซื้อของกิน ของใช้ในแต่ละวัน
ถามอีกทีว่า? อย่างไหน? ที่รัฐบาลต้องการกันแน่ การชอปปิง ถือเป็นการใช้จ่ายมั๊ย ตอบได้ทันทีว่า… ใช่ !! ช่วยหมุนเศรษฐกิจได้หรือไม่ ? ตอบว่า…ใช่!!
แต่ถามว่า? จะช่วย “ต่อลม” อย่างน้อย อีก 1 หรือ 2 หรือ 3 เดือน หรือไม่ ? ตอบทันที เช่นกันว่า…ไม่ใช่ !!
นี่… ยังไม่รวม ความไม่แน่ใจ!! ที่ประชาชนคนไทยตามท้องถนน ตามตลาด ตามชุมชน ที่ถามกลับมาว่า… โครงการนี้จะล้มหรือไม่?
ในเชิงการเมือง!! ที่สารพัดสารเพ ฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงผู้ที่ไม่เห็นด้วย ต่างงัดสารพัดข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องของความน่าจะเป็น หรือโครงการ ที่เคยถูกตีตก นำออกมาเผยแพร่ นำออกมาตั้งคำถาม
ต่อให้รัฐบาลจะบอกว่า หน่วยงานที่เคยคัดค้าน ทั้งจากสภาพัฒน์ ทั้งจากแบงก์ชาติ ก็เห็นด้วยแล้ว แต่ในความจริง หน่วยงานเหล่านี้เห็นด้วยจริงหรือ?
เอาเป็นว่า…ความตั้งใจดีของรัฐบาลน่ะ เป็นเรื่องดี แต่คนคิด คนกำหนด รายละเอียด ควรท่องโลกแห่งความเป็นจริงควรเรียนรู้ความจริง มากกว่านี้หรือไม่ ?
อย่าให้ความตั้งใจดี ๆ ถูกต่อว่าต่อขาน เหมือนกับสำนวนที่ว่า…คนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ เช่นเดียวกับหลาย ๆ โครงการที่รัฐบาล ที่หน่วยงาน รังสรรค์กันออกมา แต่ไม่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง!!!.
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”