“เริ่มจากความฝันของเราที่อยากขี่มอเตอร์คันใหญ่ ๆ ไปท่องเที่ยว แต่พ่อห้ามไม่ให้ขี่ เราก็เลยต้องแอบไปเรียนขี่มอเตอร์ไซค์โดยไม่ให้พ่อรู้ ยิ่งเรียนก็ยิ่งชอบ และยิ่งได้ลงแข่งก็ยิ่งทำให้เราหลงรักหลงใหล” เป็นความรู้สึกที่ “ปูเน่-อนัญญาลัลน์ วัฒนะนุพงษ์” ได้บอกเล่าเอาไว้ถึงความลุ่มหลงของเธอที่มีต่อรถมอเตอร์ไซค์ และก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็น “นักแข่งอาชีพ” ทั้งที่ก่อนจะเข้าสู่วงการ “นักบิด” เธอมีดีกรีเป็นถึง “รองนางสาวไทย” มาก่อน… ทั้งนี้ กับจุดพลิกผัน…กับการที่สาวสวยดีกรีนางงามเช่นเธอเลือก “ถอดมง…หันมาลงสนามแข่งมอเตอร์ไซค์” วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุยกับเธอ…

“ปูเน่-อนัญญาลัลน์” เจ้าของฉายา “นางงามนักบิด” ให้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้ได้รู้จักชีวิตเธอมากยิ่งขึ้นผ่าน “ทีมวิถีชีวิต” ว่า เธอเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาแฟชั่นดีไซน์ วิทยาลัยการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยเส้นทางชีวิตนั้น เธอเล่าว่า หลังเรียนจบปริญญาตรีทางด้านการออกแบบภายใน (Interior Design) ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เธอก็ทำงานกับที่บ้าน ต่อมาทางคุณพ่อของเธอก็อยากให้เธอ ประกวดนางสาวไทย ซึ่งเธอก็ได้ตามใจคุณพ่อในเรื่องนี้ จึงสมัครประกวดเวทีดังกล่าว และสามารถ คว้าตำแหน่ง “รองนางสาวไทย” ประจำปี 2544 มาครองได้แบบไม่นึกไม่ฝัน

“จริง ๆ ก็ไม่อยากประกวดเลย เพราะนิสัยส่วนตัวของเราเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะเป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่นัก (หัวเราะ) เพราะแม้จะรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เป็นสาวสายหวานแบบฟุ้งฟิ้งมุ้งมิ้งเลย ออกจะสายลุย ๆ ห้าวๆ ก็เลยไม่ได้มีความคิดในหัวในชีวิตเลยว่าตัวเองจะประกวดนางงาม แต่ที่ไปประกวดก็เพราะทำตามใจคุณพ่อมากกว่า” ปูเน่เล่าย้ำถึงที่มาในการเข้าประกวดเวทีนางสาวไทย พร้อมเล่าอีกว่า หลังจากเข้าประกวดนางสาวไทย และได้ตำแหน่งรองนางสาวไทยมาครอง เธอก็ทำงานอยู่ในวงการสักพักหนึ่ง จนอายุ 26 ปีเธอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศด้านแฟชั่นดีไซน์ ที่ University of the Arts London โดยเรียนอยู่ 2 ปีก็กลับมาเป็นอาจารย์สอนด้านแฟชั่นดีไซน์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันเก่าที่เธอเรียนมา ซึ่งตอนนี้สถาบันที่สอนใช้ชื่อวิทยาลัยการออกแบบ โดยสอนเรื่อยมาจนปัจจุบัน

ส่วน “เส้นทางสิงห์นักบิด” นั้น เธอบอกว่า เข้าสู่วงการนี้เพราะอยากทำความฝันตัวเองให้สำเร็จ โดยเธอฝันอยากจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ อีกทั้งเวลาที่เห็นผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ เธอมองว่าเท่มาก อยากจะขี่ให้ได้เช่นนั้นบ้าง แต่ความฝันเรื่องนี้คุณพ่อไม่สนับสนุน เธอถูกคุณพ่อคัดค้านมาตลอด ทำให้ต้องเก็บฝันนี้ไว้ก่อน แต่ต่อมาก็แอบไปฝึกขี่มอเตอร์ไซค์… “เราอยากจะเป็นคนขี่ ไม่ได้อยากเป็นคนซ้อนท้าย (หัวเราะ) เลยแอบไปหัดด้วยตัวเอง ไปเช่ามอเตอร์ไซค์มาหัดเอง ซึ่งตอนนั้นยังขี่มอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์มีคลัชไม่เป็นเลย ปรากฏขี่ไปล้มไป พอคุณพ่อรู้ว่าเราไปขี่มอเตอร์ไซค์และล้มมาท่านก็เรียกมาดุ และห้ามเราไม่ให้ขี่มอเตอร์ไซค์อีกเลย แต่เราก็ดื้อ (หัวเราะ) ก็แอบไปเรียนขี่มอเตอร์ไซค์แบบจริงจัง ที่ศูนย์ฝึกสอนการขี่มอเตอร์ไซค์แถวบ้าน โดยปิดเป็นความลับไม่ให้คุณพ่อรู้” ปูเน่เล่า

พร้อมพูดถึงตอนที่แอบไปเรียนขี่มอเตอร์ไซค์ว่า เริ่มจากฝึกขี่รถขนาดเล็กก่อน ถ้าจำไม่ผิดมอเตอร์ไซค์ที่ขี่จะเป็นยี่ห้อ Kawasaki รุ่น KSR ก็มีล้มบ้างตอนเข้าโค้ง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ จนเริ่มขี่ได้คล่องขึ้น แต่ยังไม่แข็งแรงดีนัก ทำให้ไม่เคยคิดเรื่องลงแข่ง แต่วันหนึ่งน้อง ๆ ที่มาเรียนด้วยกันมาชวนร่วมลงแข่งรายการที่ทาง Kawasaki จัด ก็เลยไปลองดู โดยลงแข่งในรุ่นผู้หญิง โชคดีที่ทางผู้จัดการแข่งขันมีรถให้ ไม่ต้องซื้อรถเอง ก็เลยได้ลงแข่งในสนามแข่งจริง ๆ ครั้งแรกในชีวิต ซึ่งก็มีล้มบ้าง แต่ก็สามารถแข่งได้จนจบครบตามที่ผู้จัดกำหนด และจากการลงสนามแข่งครั้งแรกครั้งนี้นี่เองที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยนในชีวิต” อีกครั้งของปูเน่ โดยเธอบอกว่า หลังการแข่งครั้งแรกก็ทำให้เธอมีความฝันที่อยากจะเข้าสู่วงการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ ทำให้เกิดแรงฮึดที่จะฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคการขับขี่แบบมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำนี้ แน่นอนว่า…คุณพ่อของเธอไม่รู้!!!

“หลังผ่านสนามแข่งแรก เราก็เริ่มชอบและหลงใหลการขี่มอเตอร์ไซค์แข่งมากขึ้น จึงเรียนเทคนิคการขี่อย่างจริงจังกับทางฮอนด้า เรซซิ่งสคูล ที่สนามพีระเซอร์กิต โดยตอนนั้นซ้อมแบบจริงจังมาก และก็ตัดสินใจขยับรถแข่งของตัวเองเป็นรุ่น 250 ซีซี ซึ่งแรก ๆ ที่ขยับเป็นรถที่ขนาดใหญ่ขึ้น ยังขี่ไม่เร็ว เพราะยังมีกลัว ๆ อยู่ และก็ล้มบ่อยมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บหนักอะไร แค่ฟกช้ำดำเขียว” ปูเน่บอก ก่อนจะเล่าว่า จนปี 2557 เธอได้มีโอกาสไปดูการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ที่สนามนครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งมีการแข่งในรุ่นเลดี้ เธอก็คิดกับตัวเองว่าขอกลับมาซ้อมสักปีก่อน แล้วปีหน้าเธอจะลองลงแข่ง และตั้งใจจะขยับเป็นรถรุ่นที่ใหญ่ขึ้น จนปี 2559 เธอก็ได้ทางสิงห์เป็นสปอนเซอร์ให้ นอกจากนั้นทางซูซูกิยังดึงเธอให้เข้าเป็นนักแข่งของค่ายด้วย โดยเธอได้ลงแข่งขันในรายการ R2M Thailand Superbikes ปรากฏว่าการลงแข่งครั้งนั้นเธอ คว้าอันดับ 1 ได้แชมป์แรกในชีวิต โดยที่คนอื่น ๆ ก็งงกัน เพราะเธอเป็นนักแข่งหน้าใหม่ และนั่นก็ทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจของหลายคน เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า…นางงามแบบเธอจะลงแข่งแล้วได้แชมป์ตั้งแต่สนามแรก

“ดีใจสิคะ…กับแชมป์รายการแรกในชีวิต เพราะเราเป็นหน้าใหม่ด้วย ทำให้ทั้งสนามเริ่มให้ความสนใจเรามากขึ้น มีสื่อต่างประเทศนำเรื่องราวของเราไปนำเสนอในฐานะนางงามที่คว้าแชมป์ในประเทศไทย” ปูเน่เล่าเรื่องนี้ พร้อมกับบอกว่า พอได้แชมป์ เธอจึงนำเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อ เอาถ้วยรางวัลที่ได้ไปโชว์คุณพ่อ แต่คุณพ่อก็ยังห้ามไม่ให้เธอลงแข่งอีก โดยบอกว่าท่านเป็นห่วง ซึ่งตอนนั้นมีนิตยสารเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์จะมาขอสัมภาษณ์คุณพ่อ เพราะรู้ว่าคุณพ่อห้ามไม่ให้เธอลงแข่ง คุณพ่อยังขู่เธอเลยว่าจะให้สัมภาษณ์ว่าจะให้เธอเลิกแข่ง แต่เธอไม่ยอม จึงบอกคุณพ่อว่าถ้าอย่างนั้นคุณพ่อไม่ต้องให้สัมภาษณ์เลย เธอจะให้สัมภาษณ์เองเพียงคนเดียว… ทั้งนี้ หลังจากนั้น จากแชมป์แรก ถัดมา ปี 2560 เธอคว้าแชมป์รายการเดิมมาครองได้อีกครั้ง แถม คว้าเพิ่มได้อีกหนึ่งแชมป์ จากการแข่งขันที่น้ำมันเครื่อง elf จัดที่สนามพีระเซอร์กิต

“ปี 2560 ปูเน่ย้ายเข้าสังกัดค่ายคาวาซากิ ซึ่งปีนั้นไม่ง่ายเลย เพราะมีผู้หญิงเก่ง ๆ เข้ามาในวงการมอเตอร์สปอร์ตเพิ่มขึ้น ทำให้เจอคู่แข่งที่ฝีมือใกล้เคียงกับเรามากขึ้น ก็กดดันไม่น้อยเลยค่ะ แต่ก็ทำให้เรายิ่งต้องเร่งพัฒนาฝีมือ ซึ่งที่สุดปีนั้นเราก็ได้แชมป์มา 2 แชมป์ จาก 2 รายการ ทำให้ดีใจและภูมิใจมาก ๆ ที่ทำได้” ปูเน่เล่าเรื่องนี้ และเล่าอีกว่า ต่อมาช่วงปี 2561-2562 เธอก็มีโอกาสแข่งขันในรายการที่สนามช้าง จ.บุรีรัมย์ โดยลงแข่งรุ่น Superbikes 3 ซึ่งเป็นรุ่นสแตนดาร์ด แถมต้องแข่งกับผู้ชายด้วย ซึ่งแม้เธอจะไม่ได้ขึ้นโพเดียมรับรางวัล แต่ก็พอใจที่อันดับไม่ได้รั้งสุดท้าย โดยทำผลงานได้อันดับ 6 ซึ่งเธอคิดว่าดีที่สุดแล้วในเวลานั้น อย่างน้อยนักบิดหญิงอย่างเธอก็สามารถบิดแซงผู้ชายได้หลายคัน

อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดหนึ่งเธอก็เริ่มรู้สึกอิ่มตัวในการแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ จึงตัดสินใจหยุดเส้นทางนี้ในเวลาที่เธอยังทำได้ดีอยู่ โดยเธอได้ตัดสินใจขายมอเตอร์ไซค์ที่มี 2 คันไป และไปซื้อมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่ง ยี่ห้อ BMW รุ่น GS ซึ่งเป็นรถในฝันอีกหนึ่งคันของเธอมาแทน โดยตั้งใจจะกลับมาทำตามความฝันเริ่มต้นของตัวเธอเอง คือขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว โดยไม่คิดว่าการย้อนกลับมาตามฝันครั้งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งเส้นทางสำคัญในชีวิตในเวลาต่อมา ในฐานะ “นักแข่งมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่ง”

“หลังจากเราซื้อรถทัวริ่งมาได้หนึ่งเดือน ก็มีพี่ ๆ ที่อยู่ในวงการมาชวนเราให้ลองไปแข่งขันในรายการ GS Trophy ที่ทาง BMW จัดขึ้น ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เลยว่าเป็นการแข่งแบบไหน แต่พี่ ๆ เขาก็ส่งยูทูบการแข่งมาให้เราดู ทำให้ได้รู้ว่ารายการนี้เป็นรายการแข่งขันระดับโลก ที่จะทำการคัดตัวนักแข่งแต่ละประเทศเพื่อไปร่วมแข่งกับนักแข่งต่างชาติประเทศต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นรายการที่นักแข่งทุก ๆ คนนั้นใฝ่ฝันที่จะได้เป็นตัวแทนเพื่อไปแข่งรายการนี้”

ปูเน่เล่าจุดนี้ต่อไปว่า เมื่อทราบข้อมูลการแข่งเพิ่มขึ้น ก็ทำให้เธอสนใจและรู้สึกท้าทายตัวเอง จึงตอบตกลงที่จะร่วมแข่งขันในรายการนี้ ทั้งที่ในใจของเธอเองก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นเรื่องยากเกินไป เป็นเรื่องไกลตัวมากไปหรือเปล่า เพระเธอยังมีประสบการณ์กับรถประเภทนี้ไม่มากนัก แต่ก็เริ่มฝึกฝนทักษะการขับขี่แบบจริงจัง ชนิดที่เรียกว่ารีเซ็ททักษะใหม่ ๆ ของตัวเองหมด เพราะรถประเภทนี้ไม่เหมือนกับรถรุ่นที่เธอเคยแข่งมา… “ต้องเริ่มฝึกทักษะการขี่ใหม่หมดเลย เพราะไม่เหมือนกับการขี่รถแข่งทางเรียบ ขนาดตอนไปเรียนใหม่ ๆ เวลาเข้าโค้ง เรายังกางเข่าออกมาอยู่เลย จนครูฝึกต้องตี เพราะเราติดสายสปอร์ตมา ก็ต้องมาปรับตัวใหม่ และซ้อมหนัก เพราะเรามีเวลาซ้อมแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น” ปูเน่เล่าถึงช่วงนั้น

ทั้งนี้ ก่อนที่จะถึงวันแข่ง 1 เดือน ปรากฏเธอเกิดอุบัติเหตุรถล้ม จนทำให้หัวไหล่ด้านซ้ายกระดูกร้าว แต่เธอก็พยายามฝืนร่างกาย เพราะอยากได้ประสบการณ์การแข่งขันรายการนี้… “ขนาดวันแข่ง เรายังไม่หายดีเลย ก็ใช้ผ้าพันไหล่ไว้ กับฉีดสเตียรอยด์ไม่ให้ปวดมากเพื่อให้ลงแข่งได้” ปูเน่เล่าเบื้องหลังการลงแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งรายการใหญ่รายการนั้นของเธอให้เราฟัง และแล้ว…จะเป็นเพราะโชคหรืออะไรก็ตาม ในที่สุดเธอก็ได้รับการคัดเลือกเป็น “นักแข่งตัวแทนประเทศไทย” ไปแข่งในรายการ GS Trophy Female Team Qualifier 2019 ประเทศสเปน โดยเธอเผยว่า อาจเป็นเรื่องโชคดีก็ว่าได้ ที่แม้ตัวเธอจะยังขี่รถรุ่นนี้ได้ไม่เก่ง แต่ก็ได้รับการคัดตัวไปแข่งในนามตัวแทนจากประเทศไทย เนื่องจากการแข่งวันแรกเธอได้เป็นแค่ตัวสำรองอันดับ 2 แต่พอการแข่งในวันที่ 2 คนที่ได้อันดับ 1 กลับมาเช็กชื่อไม่ทัน ทำให้โดนตัดสิทธิ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎของรายการนี้ที่เหมือนกันทั่วโลก ทำให้ต้องมีการโหวตเพื่อหาตัวแทน และเธอก็ได้รับคะแนนโหวตให้เป็นตัวแทนเข้าไปแข่งในรอบสุดท้าย และในที่สุดก็สามารถคว้าสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแข่งที่ประเทศสเปน

“การเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งครั้งนี้ แม้เราจะไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้ไปแข่งที่นิวซีแลนด์ต่อ แต่สิ่งที่ได้กลับมาเยอะมากคือ…ประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดเหนืออื่นใดเลยก็คือ…ดีใจและภูมิใจมากที่เราได้มีโอกาสไปโบกธงชาติไทยถึงสเปน” ปูเน่ สาวสวยเจ้าของฉายา “นางงามนักบิด” บอกเล่าความรู้สึกเรื่องนี้

ก่อนจบบทสนทนากับ “ทีมวิถีชีวิต” ทาง “ปูเน่-อนัญญาลัลน์” ซึ่งอดีตเคย “เป็นนางงาม” บอกกับเราว่า… ด้วยความที่ปัจจุบันมี 2 อาชีพ คือ “เป็นอาจารย์” และก็ “เป็นนักแข่ง” ด้วย ทำให้ต้องมีการแบ่งเวลาให้ดี ๆ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 อาชีพ ซึ่งก็ต้องถือว่าหนักไม่ใช่เล่น ๆ กับการที่ต้องทุ่มเทกับชีวิตทั้ง 2 ด้านให้ดี แต่ทั้งนี้ ในวันนี้ “สิงห์นักบิดดีกรีรองนางสาวไทย+อาจารย์” ก็ได้ย้ำอย่างหนักแน่นว่า… “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่ยอมทิ้งโลก 2 ล้อแน่ ๆ…เพราะคือสิ่งที่รักที่สุด”.

‘ปูเน่’ กับ ‘คีย์เวิร์ด 3 คำ’

สาวสวยฉายา “นางงามนักบิด” ยังได้ตอบ “ทีมวิถีชีวิต” ถึงคำถามที่เราได้ถามเธอว่า…ถ้าสาว ๆ คนอื่นอยากเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์เช่นเธอนั้นจะต้องทำอย่างไร?…หรือต้องมีเคล็ดลับอะไรบ้าง? โดย “ปูเน่-อนัญญาลัลน์ วัฒนะนุพงษ์” บอกว่า อันดับแรก คงต้องถามตัวเองว่าชอบจริงมั้ย? ไม่ได้ขี่เพราะเป็นแฟชั่น หรือแค่เป็นโปรไฟล์โชว์คนอื่นหรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือชอบจริง ก็เดินเข้าสู่เส้นทางนี้ได้เลย ส่วนเคล็ดลับที่จะทำให้ยืนระยะในวงการได้นั้น ปูเน่บอกว่า “มีคีย์เวิร์ด 3 คำ” คือ “มีสติ-มีวินัย-มีความมุ่งมั่น” ซึ่งการจะเป็นนักแข่งรถนั้น ต้องมีสติเสมอ และต้องมีวินัย ต้องมุ่งมั่นทุ่มเทมาก ๆ เพราะกีฬาชนิดนี้ก็มีโอกาสเจ็บตัวได้ง่าย การขยันฝึกซ้อม ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง และมีสติ จะ “ช่วยลดความเสี่ยงบาดเจ็บและโอกาสผิดพลาด” ได้ …นี่เป็น “เคล็ดไม่ลับ” การเป็น “สิงห์นักบิด” จากสาวนักบิดดีกรีไม่ธรรมดาคนนี้.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน