ศึกชิงบัลลังก์จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี กับ ลิเวอร์พูล ลงเอยด้วยการเสมอกันไป 1-1 โดย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รับบทฮีโร่ซัดประตูตีเสมอให้ทีมเยือนในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม หลังจากที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ ซัดให้เจ้าถิ่นขึ้นนำไปก่อนในครึ่งแรก

สำหรับผลการแข่งขันที่ปรากฏออกมานับว่า ยุติธรรมดีเมื่อมองจากรูปเกมในสนามที่ แมนฯ ซิตี ครองเกมบุกได้มากกว่า ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็สวนกลับสวย ๆ ได้หลายครั้ง โดยต่อไปนี้คือ 6 ประเด็นที่น่าสนใจจากเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

เทรนต์ อาร์โนลด์ พระเอกตัวจริง

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องพบศึกหนักที่ เอติฮัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวอันตรายอย่าง เฌเรมี โดกู ตลอดทั้งเกม

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป๋ไปบ้างในช่วงแรก แต่สุดท้าย “ทีเอเอ” ก็กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมนี้ หลังสามารถแย่งบอลกลับมาครองได้ถึง 9 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในสนาม

นอกจากนี้ ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ยังสวมบทฮีโร่ซัดประตูตีเสมอให้ ลิเวอร์พูล ได้อีกต่างหาก และทำให้พลพรรค “เครื่องจักรสีแดง” ควัก 1 แต้มอันล้ำค่าออกมาจากถ้ำของคู่แข่งแย่งแชมป์อย่าง แมนฯ ซิตี ได้สำเร็จ

ฮาลันด์ สร้างสถิติใหม่ (อีกแล้วครับท่าน)

เออร์ลิง ฮาลันด์ สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง หลังสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนักเตะที่พังประตูครบ 50 ตุงได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 48 นัดเท่านั้น

สถิติของ ฮาลันด์ ดูน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อนำไปเทียบกับสถิติเดิมของ แอนดี โคล ตำนานดาวยิง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งทำเอาไว้ที่ 65 นัด และมันก็ยิ่งเจ๋งขึ้นไปอีกเยอะ เมื่อได้รู้ว่า สุดยอดดาวยิงอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ต้องใช้เวลาถึง 68 เกมในการทำสถิตินี้ ขณะที่ โม ซาลาห์ ใช้เวลาไป 72 เกม

สมดุลในแดนกลางของหงส์แดง

หากมองจากชื่อของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบซไล และ เคอร์ติส โจนส์ แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่แผงมิดฟิลด์ที่หรูหราหมาเห่าเข้าขั้นเวิลด์คลาส

อย่างไรก็ตาม เจอร์เกน คลอปป์ ให้เห็นผลในการเลือกทั้ง 3 คนลงสนามเป็นตัวจริงว่า ต่างสามารถครองบอล และเอาตัวรอดได้ดี โดยเฉพาะในพื้นที่แคบ ๆ และในสถานการณ์ที่ถูกคู่แข่งกดดันเข้าใส่ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อมองจากสิ่งที่เราได้เห็นที เอติฮัด

เกมนี้นักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล กล้าครองบอลในสถานการณ์ที่โดนนักเตะซิตีบีบเข้าใส่ แม้จะยืนอยู่ใกล้ปากประตูฝั่งตัวเอง และพยายามจะเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกให้เร็วที่สุดตลอดเวลา

แน่นอนว่า ทุกอย่างยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น

โดกู อันตรายสุด ๆ

เฌเรมี โดกู แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า เพราะอะไรจึงสามารถเบียดนักเตะ 100 ล้านปอนด์อย่าง แจ็ค กรีลิช ขึ้นมายึดตำแหน่งปีกซ้ายตัวจริงของ แมนฯ ซิตี ได้ในฤดูกาลนี้

กรีลิช อาจจะเป็นนักเตะที่ครองบอลดี ลีลาสวยงามเพลินตา และเข้ากันได้ดีกับทีมที่เน้นการครองบอลอย่าง แมนฯ ซิตี

ทว่าหากพูดถึงความอันตรายแล้ว โดกู ที่มีทั้งความเร็ว ความคล่องตัว ชั้นเชิง และตัดสินใจได้ดีในจังหวะสุดท้ายแล้ว ยังเหนือกว่า ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ อย่างน้อยหนึ่งก้าว

ในเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ลิเวอร์พูล ต้องใช้ โซโบซไล ถอยลงมาช่วย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในการรับมือกับความจี๊ดจ๊าดของ โดกู และหลายครั้งพวกเขาก็เอา ดาวเตะเบลเยียม ไม่อยู่แม้จะเข้าประกบแบบดับเบิลทีมแล้วก็ตาม

ม้านั่งสำรองของเรือใบยังมีตัวเปลี่ยนเกมน้อยไปนิด

บนม้านั่งสำรองของ แมนฯ ซิตี อาจจะอุดมไปด้วยนักเตะค่าตัวแพง โดยนำเฉพาะ จอห์น สโตนส์ กับ ยอสโก กวาร์ดิโอล ก็ค่าตัวรวมกันถึง 140 ล้านปอนด์แล้ว

อย่างไรก็ตาม เปป กวาร์ดิโอลา กลับไม่มีตัวรุกชั้นดีที่สามารถจะลงมาเปลี่ยนเกมได้อยู่บนม้านั่งสำรองเลย ยกเว้นเพียง ออสการ์ บ็อบบ์ ตัวรุกดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์ เพียงคนเดียวเท่านั้น

ข้อความจากสาวกทอฟฟีสีน้ำเงิน

แฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ทำตามที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ด้วยการส่งเครื่องบินเล็กพร้อมป้ายผ้าที่มีข้อความจารึกเอาไว้แบบสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “Premier League = Corrupt. #UTFT #EFC” หรือ “พรีเมียร์ลีก = ทุจริต” ขึ้นมาบินวนเหนือสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ก่อนเกมระหว่าง แมนฯ ซิตี กับ ลิเวอร์พูล

แน่นอนว่า คุณจะได้เห็นป้ายผ้าลักษณะนี้มากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน จะเปิดรัง กูดิสัน ปาร์ก รับการมาเยือนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์นี้ หลังจากที่สาวก “ทอฟฟีสีน้ำเงิน” รู้สึกว่า เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่ทีมรักของพวกเขาถูกลงโทษตัด 10 คะแนนจากความผิดฐานละเมิดกฏการเงิน แต่ แมนฯ ซิตี ซึ่งถูกกล่าวหาว่า ทำความผิดถึง 115 กระทิงกลับยังไม่โดนลงโทษจนกระทั่งบัดนี้.