หากคุณเป็นเด็กที่เกิดในยุค 60 70 80 แทบไม่มีใครที่จะไม่รู้จักนิยายเด็กเรื่อง “Charlie and the Chocolate Factory” ซึ่งเขียนขึ้นโดย โรอัลด์ ดาห์ล วางจำหน่ายในปี 1964 ความนิยมของหนังสือเล่มนี้ เกิดจากการที่คุณครูส่วนใหญ่มักจะนำมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา ให้เด็กนักเรียนได้อ่านกัน ซึ่ง “หมีเช” ก็รู้จักหนังสือเล่มนี้ เพราะเหตุผลนั้นเช่นกัน จากนั้นก็สมัครเข้าด้อม โรอัลด์ ดาห์ล ทันที ไปตามอ่านหนังสือของเขาแทบทุกเล่ม ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคนั้นจะตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ และก็เริ่มไปตามหาหนัง Willy Wonka & the Chocolate Factory ที่ถูกสร้างในปี 1971 มาดู ตอนนั้นผู้รับบท วิลลี่ วองก้า คือตำนานนักแสดง “จีน ไวลเดอร์” (Gene Wilder) ผู้ล่วงลับ ถือเป็นหนังอมตะที่คนรักหนังทุกคนต้องดู

ต่อจากนั้น หนังสือ Charlie and the Chocolate Factory ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์อีกครั้งในปี 2005 โดยใช้ชื่อตรงกับชื่อหนังสือเป๊ะ ๆ ผู้รับบท วิลลี่ วองก้า ก็คือดาราหนุ่มสุดหล่อที่มีลีลาการแสดงสุดแพรวพราว “จอห์นนี่ เดปป์” (Johnny Depp)

และนี่คือการกลับมาอีกครั้งของ วิลลี่ วองก้า แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะมันคือภาคกำเนิดของตัวละครสุดมหัศจรรย์ เจ้าของโรงงานช็อกโกแลตบันลือโลก! ที่ได้ดาราหนุ่มสุดฮอตในยุคนี้ “ทิโมธี ชาลาเมต์” (Timothée Chalamet) มาสวมบทบาทของหนุ่มนักทำช็อกโกแลตที่มีความฝันอยากจะเป็นนักมายากล ได้ “พอล คิง” จาก Paddington มารับหน้าที่ผู้กำกับ, “ไซมอน ริช” จาก An American Pickle มารับหน้าที่เขียนบท และ “เดวิด เฮย์แมน” ผู้อำนวยการสร้าง Harry Potter มาดูแลภาพรวม

Wonka เล่าถึงช่วงชีวิตในตอนวัยรุ่นของ วิลลี่ วองก้า ว่าเขาเป็นใคร? มาจากที่ไหน? เรื่องราวในวัยเด็กของเขากับคุณแม่สุดที่รัก เหตุการณ์ที่ทำให้เขากลายเป็นนักทำช็อกโกแลตผู้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นเจ้าของโรงงานช็อกโกแลตได้อย่างไร?

ภาพยนตร์เรื่อง Wonka มีความยาว 1 ชั่วโมง 56 นาที ได้คะแนนจาก IMDb 7.6/10 ซึ่งน้อยกว่า Willy Wonka & the Chocolate Factory (1971) เพียงแค่ 0.2 คะแนน แต่มากกว่า Charlie and the Chocolate Factory (2005) ที่ได้ 6.7/10

Wonka เป็นภาพยนตร์มิวสิคัลแฟนตาซี ที่มีการร้องรำทำเพลงกันประหนึ่งละครเวทีที่คนไทยคุ้นเคย หนังเหมาะกับคนดูทุกเพศทุกวัย มีความสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ รับรองไม่มีงอแงงแน่นอน เพราะหนังเหมือนวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ตลอดทั้งเรื่อง

จุดเด่นของ Wonka

สำหรับคนที่มี “Charlie and the Chocolate Factory” เป็นหนังสือในดวงใจ นี่คือหนังที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะคุณจะได้ทราบต้นกำเนิดของ วิลลี่ วองก้า ว่าไปไงมาไงถึงมาเป็นเจ้าของโรงงานช็อกโกแลตได้

และการที่ “วิลลี่ วองก้า” รับบทโดย “ทิโมธี ชาลาเมต์” ดาราหนุ่มสุดหล่อขวัญใจสาว ๆ ทั่วโลก ทำให้หนังเรื่องนี้มีคุณค่าคู่ควรที่จะชมมาก ๆ เนื่องจาก ทิโมธี หล่อมากๆๆๆ น่ารักมากๆๆๆ และเราจะได้เห็นเขาโชว์พลังเสียงในการร้องเพลง รวมทั้งลีลาการเต้นอีกด้วย รับประกันใจละลาย ฟินตัวแตกกันแน่นอน

นักแสดงคนอื่น ๆ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ไม่มีใครแผ่ว ไม่มีใครยอมใครเลย โดยเฉพาะนักแสดงเด็กอย่าง “คาล่าห์ เลน” (Calah Lane) ที่ยืนประชันบทบาทกับ ทิโมธี ได้แบบไม่เป็นรอง รวมทั้ง ซัลลี่ ฮอว์กินส์ (Sally Hawkins) ที่รับบทแม่ของวองก้า แม้จะได้ออกมาแค่ไม่กี่ฉาก แต่ทุกฉากเธอแสดงได้ทรงพลังเหลือเกิน แต่ที่เป็น MVP เลยก็ต้องยกให้กับ พระเอกรุ่นลายครามอย่าง “ฮิว แกรนต์” (Hugh Grant) ที่มารับบท “ลอฟตี้ อุมป้า-ลุมป้า” ที่ออกฉากไหนก็แย่งซีนทุกคนไปจนหมดสิ้น โดดเด่นถึงขนาดทำให้ “หมีเช” คิดไปไกลว่า สามารถเอามาทำหนังภาคแยกของตัวเองได้เลยนะเนี่ย

อ้อ! เกือบลืมพูดถึงคน ๆ นี้ “Mr. Bean” หรือ “โรวัน แอตกินสัน” (Rowan Atkinson) ที่มารับบท “บาทหลวงจูเลียส” เราจะได้เห็น โรวัน รับบทที่ดูธรรมดาที่สุดสำหรับเขานะ ได้เห็นบทพูดยาว ๆ ของแกหน่อย แต่ระดับโรวันแล้ว มันก็เป็นบทธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั่นแหละ

ในส่วนของเนื้อเรื่องก็ทรงพลังและสนุกมาก ๆ แต่เป็นเนื้อเรื่องในสไตล์เดียวกับต้นฉบับ Charlie and the Chocolate Factory นะ นั่นก็คือ “นิยายเด็ก” แม้ในช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุด ตัวละครก็ยังคงอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์แสนสดใสสีฟรุ้งฟริ้ง

จุดอ่อนของ Wonka

จะบอกว่าเป็นจุดอ่อนก็ไม่เชิง เพราะนี่มันคือหนังที่มีต้นเรื่องมาจากนิยายเด็กสุดคลาสสิก เรื่องราวก็เลยเป็นไปในทำนองของนิยายเด็ก วิ่งอยู่ในทุ่งวาเลนเดอร์ตลอดเวลา ใครที่ไม่ชอบก็อาจจะรู้สึกว่า โลกสวยไปเปล่า!!

อีกหนึ่งจุดที่ “หมีเช” รู้สึกตะขิดตะขวงใจเป็นการส่วนตัว แต่มันเป็นแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้น ก็คือการใส่ตัวละครที่เมื่อได้ยินคำว่า “จน” แล้วอยากจะอาเจียนทันที มันดูบูลลี่คนจนไปสักหน่อย แต่จริง ๆ ก็เข้าใจเจตนาของผู้สร้างหนังหรอกนะ ว่าต้องการนำเสนอให้คนเราไม่บูลลี่ฐานะของกันและกัน ทว่า ส่วนตัวรู้สึกว่ามันไม่เก็ทสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ขำด้วย รู้สึกได้แค่การบูลลี่เท่านั้น

4.5/5
ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งในแฟนคลับของจักรวาล โรอัลด์ ดาห์ล และนิยายเด็กสุดคลาสสิก Charlie and the Chocolate Factory ไม่ว่าจะอยู่ด้อมไหนก็ตาม นี่คือหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง รวมทั้งหากคุณหลงใหลได้ปลื้ม ทิโมธี ชาลาเมต์ อยู่แล้ว นี่คือหนังที่ “ต้องดู” รับประกันว่า ดูจบแล้ว จะรีบพุ่งกลับบ้าน หรือออกมาเปิดมือถือเพื่อย้อนกลับไปดูหนัง Wonka & the Chocolate Factory (1971) และ Charlie and the Chocolate Factory (2005) อีกสักหนึ่งรอบ และด้วยเนื้อเรื่องที่ปูมาในหนัง Wonka สามารถสานต่อนำไปสร้างเป็นซีรีส์ได้สบาย ๆ เลย ในช่วงเวลาที่ วองก้า ตามหาวัตถุดิบต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อนำมาทำช็อกโกแลต ซึ่งมันแฟนตาซีสุด ๆ ทำให้นึกภาพออกเลยว่า ถ้าหยิบจับมาทำซีรีส์แต่ละตอนที่ตามหาวัตถุดิบต่าง ๆ สักตอนละวัตถุดิบ รับประกันว่าสนุกสุดหรรษาแน่นอน
.

หมีเช