หลายคนยังจำภาพของ ก้อยอรัชพร โภคินภากร นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดและเป็นที่จดจำของคนดูตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกด้วยบทบาท ดิว ในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่นซีซัน 2 ได้ เผลอแป๊บเดียวผ่านไป10 ปีแล้ว ที่ ก้อยอรัชพรยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงกับบทบาทที่หลากหลาย วันนี้ ดาวต่างมุม ไม่พลาดขอนัดก้อยมานั่งพูดคุย ให้เจ้าตัวรีวิวชีวิตช่วงที่ผ่านมาอย่างเข้มข้น รวมถึงอัปเดตผลงานล่าสุดอย่าง ซีรีส์เรื่อง “START UP” ทางช่อง ทรูไอดี (TRUE ID) ที่ลงจอเป็นที่เรียบร้อย

รีวิวปีที่ผ่านมาของ ก้อย-อรัชพร?

“ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่เป็นโรลเลอร์โคสเตอร์ของก้อยนะคะ ก้อยรู้สึกว่าจริง ๆ ก้อยค่อนข้างมีสติ และควบคุมอะไรหลาย ๆ อย่างได้ แต่ปีที่ 29 เป็นปีที่เข้มข้นที่สุดในชีวิตก้อย ครบรสในทุก ๆ ด้าน ทั้งเสียใจ โกรธ กระโจน สนุก เพราะฉะนั้นการที่เราผ่านมาจนถึงปีใหม่ได้ ทำให้เรารู้สึกเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนมาก ๆ เพราะได้เปลี่ยนผ่านอะไรหลาย ๆ อย่าง”

ก้อยรู้สึกยังไงกับตัวเลข 30?

“จะมีสองอย่าง ถ้าในแง่ของทัศนคติ 30 ก็เป็นแค่ตัวเลข เพราะเราจะไม่แก่ แต่จะมีเรื่องของสุขภาพ อย่างเมื่อก่อนกินดึกแค่ไหนน้ำหนักก็ไม่ขึ้น ใช้ชีวิตแบบวิ่งสู้ฟัด ไม่นอนก็ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายเราเป็นแบบนี้ เราต้องดูแลตัวเองมากขึ้น แต่เราไม่ได้กลัว หรือรู้สึกไม่ดี เพราะในแง่ของการทำงานก้อยยังรู้สึกว่าเรายังฟิต เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบและสนุกที่ได้ทำ”

เป้าหมายในปีนี้?

“ก้อยว่าเป็นปีของการดูแลตัวเองนะคะ และเป็นปีแห่งผลผลิต ก้อยสร้างสรรค์ผลงานอะไรไว้ประมาณนึงในตอนที่ตัวเองอายุ 29 ปี ก็รู้สึกว่าปีนี้เป็นปีที่หลาย ๆ อย่าง ได้ออนแอร์และได้ฉาย อย่าง ซีรีส์สร้างแรงบันดาลใจ “START-UP” ด้วย แล้วก็เป็นจุดแลนดิ้งหลาย ๆ อย่าง อย่างตอนนี้เราเลิกทำรายการ “ถ้าหนูรับพี่จะรักป่ะ” แล้ว แต่ไม่ได้เลิกทำช่อง “ก้อยนัตตี้ดรีม” นะคะ คือเราอยากพาตัวเองไปสู่จุดใหม่ ๆ บ้างเท่านั้นเอง จบบางอย่างลงแล้วก็เริ่มต้นใหม่ เลยคิดว่าปีนี้จะเป็นอายุ 30 ปีที่แข็งแรง ทั้งกายและใจ”

ก้อย-นัตตี้-ดรีม ยังจับมือกันเหนียวแน่น?

“ก้อยว่ามันเหนียวแน่นในระดับจิตวิญญาณเลยนะคะ พูดแล้วอาจจะดูเวอร์ แต่เราเป็นเพื่อนกันมา 10 ปี ความสัมพันธ์ที่ยาวนานแบบนี้ก็ค่อนข้างจะหายาก การที่เรารวมกัน 3 คนก็ทำให้เรามีพลัง ถึงแม้วันหนึ่งบางคนอาจจะอยากหยุดพัก แต่ก็เป็นสิ่งที่คุยกันได้”

จากวันที่เราเล่น Hormones คิดไหมว่าวันนึงจะมาอยู่จุดนี้?

“เป็นเรื่องที่แปลกมาก เราไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ ตอนเด็ก ๆ เรามีความฝัน และรู้ตัวว่าอยากเป็นนักแสดง และมีความคาดหวัง แต่ ณ วันนึง เราเลิกโฟกัสว่าเราอยากจะไปถึงจุดไหน แล้วสนใจแค่ว่าเราอยากทำอะไร มันเหมือนทุกอย่างนำพาเรามาถึงจุดนี้แบบงง ๆ แต่ตอนที่เรารู้สึกว่าอยากจะเป็นนั่น อยากจะเป็นนี่ ทำให้เรารู้ว่าการที่เราพยายามและโฟกัสที่ผลลัพธ์ไม่ได้ ย้อนกลับไปดูนอกจากนิสัยเราที่เปลี่ยน ตัวตนเราที่เปลี่ยน หน้าเราก็เปลี่ยนด้วย ก็เติบโตขึ้นในหลายด้านมาก ๆ”

ในระยะเวลา 10 ปีที่เดินทางมา จัดการกับดราม่าต่าง ๆ รับมือดีขึ้นมั้ย?

“เยอะมาก ก้อยเป็นคนใจร้อน สมัยก่อนเลยรับมือแบบคนใจร้อนในหลาย ๆ ครั้ง เช่น บางอย่างที่เรามีทัศนคติว่าเราไม่ผิด แต่บางคนก็ไม่ได้สนใจตรงนั้นหรอก แค่รู้สึกว่าเขาไม่ชอบ ซึ่งเราก็อยากจะสื่อสาร ไม่เข้าใจอะไรก็คุยกันซิ แต่พอโตขึ้นเราก็เรียนรู้ว่าเสียเวลา พอรถทัวร์มันผ่านเราบ่อย ๆ ขึ้น เราก็เริ่มชินกับรถทัวร์นั้น และเรียนรู้ว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป มันแค่แวะมา แล้วอะไรที่เราปรับได้ก็ปรับ อะไรที่ปรับไม่ได้ก็ปล่อยไปตามนั้น พอเราปล่อยว่างขึ้น ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น ดีขึ้นเยอะ เราเก็บเวลาไว้สื่อสารกับคนที่เขาอยากฟัง และมีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกันดีกว่า เพราะคนไม่เหมือนกันก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ก้อยใจเย็นขึ้นเยอะ เหมือนที่เราไปในหลาย ๆ รายการว่าเราเคยโทรฯ คุยกับคนถึงหกโมงเช้าที่เขาคอมเมนต์ด่าเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้เราไม่ทำแบบนั้นแล้ว พอ ณ วันนี้ปัญหาไม่ใช่เรื่องของคนอื่นแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราจัดการความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้หรือเปล่า”

มีอะไรอยากทำอีกมั้ย?

“ก้อยเป็นคนชอบทำโปรเจกต์ ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย มีอยู่วันหนึ่งก้อยไปทะเล แล้วก็แต่งเพลงขึ้นมาเพลงนึง แต่งเอง แล้วก็ฮัมเองก็สนุกดีนะ คือก้อยไม่ได้อยากเป็นนักร้อง แต่ทุก ๆ ปีของก้อยมีสิ่งที่อยากจะสื่อสาร อย่างปีที่แล้ว ก้อยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากจะสะท้อนชีวิตตัวเองในตอน 28 ปี ก็เลยมาคิดว่าก็ดีเหมือนกันเนอะ ถ้าเราจะสะท้อนชีวิตตัวเองออกมาในช่วง 29-30 ปี ผ่านเพลง ก็คิดว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการนำเสนอก็เลยอยากทำ แต่ทำออกมาในเรื่องที่เราอยากเล่า ใครอยากฟังก็ฟัง ไม่ฟังก็ไม่เป็นไร แต่อินเนอร์เราอยากแต่ง ประเด็นที่เราอยากพูด แล้วก็อยากทำละครเวทีอีกครั้ง เพราะก้อยโตมากับละครเวที ตั้งแต่ตอนที่เรียนนิเทศ จุฬาฯ ตอนที่เราเล่นละครหรือหนังมันก็เติมเต็มได้แหละ แต่ละครเวทีต้องยอมรับว่าเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่เราดูแล้วสนุก เล่นก็สนุก ในปีนี้คิดว่าอยากจะทำเอง เล่นเอง สักครั้ง ส่วนในอนาคตก้อยก็อยากทำหนังของตัวเองบ้าง ทำซีรีส์ของตัวเอง คือก้อยไม่ได้ตั้งเป้าว่าเราอยากจะทำอันนั้นอันนี้ แต่แค่อยากทำอะไรที่เราสนุกและมีไฟ ก้อยว่าสำคัญมากในการทำอาชีพนี้ และยิ่งเราทำงานที่เราไม่มีไฟเยอะ ๆ มันมอดเร็วมาก”

แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องทำงานที่ไม่มีไฟ?

“ใช่ค่ะ เยอะเลย แล้วก็ทำให้ก้อยเป็นบ้า ก็จะชอบพูดกับแม่ว่าหลาย ๆ ครั้งเราทำสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเบิร์นเอาท์ เราเฉย ๆ กับเรามากเกินไป เหมือนเครื่องจักรที่ทำไปให้เสร็จ ๆ มันเศร้านิดหนึ่งนะ แต่เราเข้าใจนะว่าบางคนก็ไม่ได้มีทางเลือก ก็ต้องหาแง่มุม แต่ตอนนี้ก็บาลานซ์ได้มากขึ้น”

อยู่ในจุดที่เลือกสิ่งที่อยากทำได้มากขึ้น?             

“ก้อยว่าตรงนี้คือความโชคดี อย่างตอนเด็ก ๆ เรามีความฝันส่วนหนึ่งก็จริง แต่เป้าหมายเราคืออยากให้ครอบครัวสบาย และมีหลาย ๆ อย่างที่เป็นเรื่องของการยังชีพ เพื่อทำให้การเงินของเรามีเสถียรภาพ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเลยนะ เพราะทุกอย่างก็นำพาให้ก้อยมาถึงจุดนี้ แต่พอวันนี้ที่เราพอจะทำตรงนั้นได้แล้ว กลายเป็นว่าพอจะได้ทำอะไรที่เราอยากทำจริง ๆ ใช้เวลาให้คุ้มค่า”

ตัวตนจริง ๆ ของก้อยเป็นยังไง? 

“จริง ๆ เป็นคำถามที่ยากนะคะ เพราะตัวตนคนเราเปลี่ยนไปได้ทุกวัน ถ้ามองย้อนไปแต่ก่อน ก้อยมีความคาดหวังกับอะไรบนโลกนี้เยอะ พอโตขึ้น ความคาดหวังที่เราฝากไว้ที่คนอื่นก็ลดลง อย่างเมื่อก่อนก้อยเขียนบทเอง นอกจากเราจะเขียนบทได้ดีแล้ว ยังคิดต่อไปอีกว่าผู้กำกับชอบงานเรามั้ย แล้วคนนี้ชอบงานเราไหม แต่พอเราโตขึ้น คำถามก็เปลี่ยนไปว่าเราชอบงานนี้ไหม เราอยากทำงานนี้ไหม คำถามเหลื่อมกันแค่นิดเดียว แต่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเลยนะ ก้อยก็เลยพยายามวิ่งเส้นนี้ คือทำในสิ่งที่เราอยากทำและเต็มที่กับมัน แล้วก็ปลงชีวิตขึ้น”

อายุ 30 ปลงแล้วเหรอ?

“ปลงนะ อาจจะเพราะเราเลิกกับแฟนด้วย พอแต่ละครั้งเรามีความสัมพันธ์นาน ก่อนคนล่าสุด ก้อยคบมา 7 ปี แล้วครั้งล่าสุด 3 ปี แล้วก้อยไม่ใช่คนที่ชอบมีความสัมพันธ์บ่อย ๆ เราเลยรู้สึกว่าเหนื่อยจัง แต่การได้อยู่กับตัวเองก็ดีเหมือนกันนะ เรามีเวลาตกผลึก ได้คิดอะไรของตัวเอง ก็สนุกดี”

เราต่อสู้กับความรู้สึกหมดไฟยังไง?

“มีหลายวิธี เคยไปหาหมออยู่พักนึงด้วยค่ะ ด้วยสังคมด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ข้อดีคือ การที่ก้อยเขียนเรื่องราวต่าง ๆ มันช่วยได้เยอะมาก เราจะได้เห็นปัญหาว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ใหญ่จริงไหม แล้วบางทีก้อยก็ใจดีกับตัวเองน้อยด้วย กับสิ่งที่ไม่จำเป็น ซึ่งก้อยหมดแรงกับอะไรแบบนี้ไปเยอะ”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / ภาพ : จุมพล นพทิพย์