ตั้งเป้าประเทศไทยเป็นที่ 1 ภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาห กรรมระดับโลก… นี่เป็นปรากฏการณ์ในรอบหลายปีที่ “นายกรัฐมนตรีไทยขึ้นเวทีเดี่ยวไมโครโฟนแสดงวิสัยทัศน์” ว่า…ในฐานะผู้นำรัฐบาล เห็นศักยภาพอะไรของประเทศ? จะพาประเทศไปสู่การเป็นผู้นำในด้านใดบ้าง?…

นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีศิลป์ ได้ ฉายภาพให้ทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน ได้เห็นว่า… ประเทศไทยจริง ๆ แล้วมีทั้งศักยภาพ และความพร้อม ที่รอฉายแสงสว่าง และก็ได้ฉายภาพว่า…ไทยควรจะเติบโตไปในทางไหน? ซึ่ง นายกรัฐมนตรีมองเห็นทางที่จะพาประเทศให้เป็นที่ 1 ในเวทีโลกแล้ว 8 ด้าน…

ประกอบด้วย… 1.ศูนย์กลางการท่องเที่ยว นายกฯ มี 4 มาตรการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้โตขึ้น โดย… ส่งเสริมต่อยอดการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบ ให้ทุกจังหวัด ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เป็นเมืองท่องเที่ยว พร้อมเฟ้นหา “Soft Power” เพื่อเอาเสน่ห์ของศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารไทย กีฬา ออกมาขาย, ทำให้ไทยมีงานเทศกาล งานคอนเสิร์ต งานศิลปะ งานแสดงสินค้าในประเทศตลอดทั้งปี แล้วให้มีการต่อยอดไปเที่ยวจังหวัดอื่น ๆ ต่ออีก, ผลักดันการท่องเที่ยวเป็นภูมิภาค (CLMV) เปิดวีซ่าเพิ่ม และแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เช่น เวลาเปิด-ปิดสถานบริการ เวลาอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ โดยทั้งหมดนี้…นายกฯ หวังอยากให้ประเทศไทยทั้งประเทศเป็น Homestay ของคนทั่วโลก

2.ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ นายกฯ บอกว่ามี 3 เหตุผลที่ทำให้ไทยเป็นเลิศทางการแพทย์สำหรับคนทั่วโลก คือ… โรงพยาบาลไทยได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ, บุคลากรการแพทย์ฝีมือเยี่ยมและมีไมตรีจิตดี, ค่ารักษาพยาบาลถือว่าถูกเมื่อเทียบกับหลายประเทศ เราสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้โดยโปรโมตท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และประสานให้โรงพยาบาลไทยรับประกันของต่างชาติได้ พร้อมกันนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาระบบประกันสุขภาพคนไทย จาก 30 บาทรักษาทุกโรค ยกระดับเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ใช้ AI เชื่อมฐานข้อมูลผู้ป่วย 77 จังหวัดเข้าโรงพยาบาลด้วยบัตรประชาชนใบเดียว รวมถึงผลักดันแพทย์แผนไทย นวด สปา สมุนไพรไทย และหนุนผู้ประกอบการเปิด Wellness Center ได้ในต่างประเทศด้วย

ถัดมา… 3.ศูนย์กลางด้านอาหาร นายกฯ ก็วางเป้าให้ไทยเป็น “ครัวของโลก” ร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินต้องเพิ่มขึ้น “Street Food” จะเป็นจุดหมายนักกินทั่วโลก และไทยต้องเป็นผู้ส่งออกอาหาร “Halal” ไปทั่วโลก ซึ่งเกษตรกรไทยผู้ผลิตวัตถุดิบทำอาหารก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น, 4.อัปเกรดสนามบินของไทยในทุกมิติ ให้ไทยเป็น ศูนย์กลางการบินแห่งหนึ่งของโลก ทั้งปรับปรุงรันเวย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง เพิ่ม Terminal ขยาย-ปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ปรับปรุงการตรวจลงตรา (Immigration) ปรับ Landing Fee/Delay Fee ยกระดับบริการภาคพื้นดิน อุตสาหกรรมบำรุงรักษา ทำ Private Jet Terminal & ศูนย์ซ่อมบำรุง สร้างระบบขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อนำสินค้าเกษตรสดใหม่จากเกษตรกรไทย อาหารไทยปรุงสด ๆ ส่งจากไทยไปทั่วโลก ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้กระทรวงคมนาคมพร้อมนำเสนอแผนอย่างละเอียดวันที่ 1 มี.ค.นี้

5.รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มศักยภาพระบบคมนาคม ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็น ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) โดยการปรับปรุงสนามบินทั้งระบบ ขยายถนน ทั้งถนนหลักและถนนรอง พัฒนารถไฟรางคู่ ระบบรถไฟฟ้า รวมทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ไปยังชายแดนหนองคาย พร้อมทั้งเชื่อมต่อไปยังท่าเรือน้ำลึกที่แหลมฉบัง รองรับการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด เชื่อมจีน-ยุโรป และเป็นศูนย์กลาง “Land Bridge” เชื่อม 2 ฝั่งอันดามัน-อ่าวไทย สร้างสมดุลสู่ความมั่งคั่ง เป็นตัวกลางการค้าระหว่างโลกตะวันตก-ตะวันออก ให้การขนส่งเป็นขุมทรัพย์ที่จะพาเงินเข้ากระเป๋าคนไทยทุกกลุ่ม, 6.ศูนย์กลางผลิตยานยนต์อนาคต ไทยมีความพร้อมในทุก Supply Chain มีผู้ผลิตชิ้นส่วน วิศวกร Programmer ที่มีศักยภาพ รัฐบาลจึงมีแผนจะส่งเสริมอุตสาหกรรมรถ “EV” ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การค้นคว้าวิจัย ผลิตชิ้นส่วน ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ อะไหล่ การประกอบ การบำรุงรักษา ไปพร้อม ๆ กับสนับสนุนค่ายรถจากญี่ปุ่นให้เปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่าง Hydrogen รองรับอุตสาหกรรมในอนาคต

อีก 2 ด้านคือ… 7.รัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยเป็น ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) ดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI มาขยายธุรกิจในไทย รัฐบาลจะมีเงินสนับสนุนบริษัทที่ต้องการ ผ่านกองทุน ทั้ง High Tech และ Deep Tech ต่าง ๆ โดยจะปรับกระบวนการกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการตั้งบริษัทในไทยทั้งหมดด้วย และ 8.ศูนย์กลางทางการเงิน รัฐบาลตั้งเป้าเปลี่ยนให้ไทยเป็น “Financial Center of Southeast Asia” ขับเคลื่อนระบบการเงินด้วย Blockchain สร้างย่านการเงิน Wall Street ของอาเซียน อีกทั้งจะปลดล็อก Digital Asset ต่าง ๆ เชื่อมต่อสินทรัพย์ระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกจริง ขณะเดียวกันจะพัฒนาระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน Carbon Credit Trading ด้วย

ต้องบอกว่า…นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ใช้วิธีมองภาพประเทศที่ต่างไปจากเดิม เพิ่มเติมจากเดิมเพื่อให้เพียงพอต่อการพาประเทศไทยไปสู่จุดที่ควรจะเป็น ซึ่งนายกฯ มองว่า… “เราต้องสร้างโอกาสของประเทศขึ้นมาด้วย” จากความกล้าที่จะลงทุน และประเทศไทย จากคำว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” นายกฯ ก็ตั้งใจเติมคำว่า “ในกระเป๋ามีตังค์” ให้ได้ด้วย

นี่คือ “อนาคตประเทศไทย” ที่ถูกวางไว้

“วิชั่นนายกรัฐมนตรี…เศรษฐา ทวีสิน”.