โดยการกระทำ “สุดพิลึก” เช่นนี้อาจส่งผลทำให้แม่ม้าที่กำลังท้องนั้นแท้งลูกม้าได้ ซึ่งหลังเรื่องนี้กลายเป็นกระแสบนโลกโซเชียลก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย รวมถึง…

เกิด “ปุจฉา” กับ “พฤติกรรมชวนอึ้ง”

ไฉนบางคนจึง “อยากสมสู่กับสัตว์?”

รสนิยมพิลึกนี้ “มีปัจจัยใดกระตุ้น?”

ทั้งนี้ กับ “วิสัชนา” ปุจฉานี้…ถ้าลองค้นข้อมูลจากโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านคีย์เวิร์ดคำว่า “มี SEX กับสัตว์” ก็จะปรากฏคำหนึ่งคำที่น่าสนใจขึ้นมา นั่นคือคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า “Zoophilia” ที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า “โรคกระสันกับสัตว์” และมีคำอธิบายถึงอาการดังกล่าวนี้โดยมีการระบุไว้ว่า… เป็นอาการของผู้ที่ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนวัยเจริญพันธุ์ตามปกติได้ หรือ มีความสุขสมกับสัตว์มากกว่ากับคน ซึ่ง ทางจิตวิทยาจัดให้อยู่ใน “กลุ่มโรคกามวิปริต”

เป็นกลุ่มที่ “มีความผิดปกติทางเพศ”

นี่เป็นข้อมูลที่ค้นหาได้จากโลกออนไลน์

ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับ “โรคกามวิปริต” นั้น…ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ได้ขอคำอธิบายจาก ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้อธิบายถึง “ลักษณะอาการ” โรคดังกล่าว รวมถึง “สาเหตุ-ปัจจัย” ที่กระตุ้นให้บางคนป่วยด้วยโรคนี้ โดย ดร.นพ.วรตม์ได้อธิบายให้ความรู้ความเข้าใจมาว่า… คนที่ “ชอบมีอะไรกับสัตว์” นั้น ในทางการแพทย์ถือว่าเป็น “ความผิดปกติทางเพศ” รูปแบบหนึ่ง ในทางจิตวิทยานั้นก็ถือว่า เป็นผู้ที่ “มีปัญหาทางสุขภาพจิต” ด้วย ซึ่งในภาพรวมมีศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกโรคนี้ว่า “Paraphilia” หรือ “โรคความผิดปกติทางเพศ” หรือที่หลายคนมักจะเรียกว่า “โรคกามวิปริต” นั่นเอง ซึ่งก็ให้ความหมายอย่างเดียวกัน โดยอาการของโรคนี้จะนำมาใช้อธิบายถึง คนที่มีพฤติกรรมทางเพศหรือแรงกระตุ้นทางเพศที่ผิดปกติไปจากคนทั่วไป โดยความผิดปกติเช่นนี้ถ้าไม่รีบบำบัดรักษา…

ไม่เพียงจะ “อันตรายต่อร่างกาย”…

บางพฤติกรรมยัง “ผิดกฎหมาย” ด้วย

โฆษกกรมสุขภาพจิตยังให้ข้อมูลผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาอีกว่า… “Paraphilia” หรือ “โรคความผิดปกติทางเพศ” สามารถ “จำแนกรูปแบบได้หลากหลาย” โดยการจำแนกนั้น ดูที่แรงกระตุ้นทางเพศ-พฤติกรรมที่แสดงออก ที่จะมีทั้ง…ชอบมีเพศสัมพันธ์กับวัตถุ, มีรสนิยมทางเพศซาดิสต์ หรือมีความสุขเมื่อใช้ความรุนแรงกับคู่นอน, ชอบมีเซ็กซ์กับเด็ก, ชอบโชว์อวัยวะเพศในที่สาธารณะ, ชอบถ้ำมองหรือแอบดูคนอื่น รวมถึง มีแรงกระตุ้นทางเพศโดยต้องการมีเซ็กซ์กับสัตว์!!

สำหรับ “สาเหตุ” ทำให้เกิด “ความผิดปกติทางเพศ” เช่นนี้นั้น ดร.นพ.วรตม์ อธิบายว่า… มีหลายสาเหตุ อาทิ เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติ เกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนผิดปกติ หรืออาจจะมาจากปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ที่เป็นอยู่มาประกอบร่วมด้วยก็ได้ เช่น มีปัญหาสุขภาพจิตมาตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก หรือ เป็นผู้ที่มีปัญหาการเข้าสังคม หรือ เคยได้รับประสบการณ์ความรุนแรงทางเพศ มาก่อน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถเป็น “ตัวกระตุ้น” ทำให้ “ป่วยเป็นโรคกามวิปริต” ได้

ส่วน “อาการบ่งชี้” ว่าใครอาจจะ “เสี่ยงป่วยเป็นโรคกามวิปริต” นั้น ทางโฆษกกรมสุขภาพจิตได้ให้ข้อมูลวิธีสังเกตคร่าว ๆ โดยสังเขป โดยระบุว่า… หากตัวเอง หรือคนรอบข้าง มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีแนวโน้มที่อาจจะป่วยด้วยโรคนี้ได้ ได้แก่…1.มักจะมีจินตนาการเร้าความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรงต่างจากคนทั่วไป 2.มักจะรู้สึกตื่นตัวจากสิ่งเร้าที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป 3.อาการที่ว่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน 4.ไม่สามารถหักห้ามจินตนาการที่มีได้…นี่เป็น “หลักสังเกตเบื้องต้น” กรณีที่อาจจะเสี่ยงป่วยเป็น “โรคกามวิปริต” ได้

ขณะที่การวินิจฉัยโรคนั้นก็มีการให้ข้อมูลมาด้วยว่า… โรคกามวิปริตนี้วินิจฉัยได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ เนื่องจาก ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะแสดงให้เห็นอาการอย่างชัดเจน ซึ่งทาง ดร.นพ.วรตม์ ย้ำผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… โรคนี้สามารถบำบัดรักษาได้ โดยเริ่มจากลดความรู้สึกอึดอัดของผู้ป่วย เพราะหลายรายที่มีอาการนี้มักมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคมอย่างไรก็ตาม ถึงแม้โรคกามวิปริตจะสามารถบำบัดรักษาได้ แต่ ปัญหาใหญ่ที่พบบ่อยคือผู้ป่วยรู้สึกอายจนไม่ยอมรับการรักษา ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้อาการยิ่งแย่ลง จนระงับแรงกระตุ้นไม่ได้ และอาจก่อเหตุผิดกฎหมาย

“ขอย้ำว่าโรคนี้รักษาได้ การรักษามีทั้งการทำจิตบำบัดและการใช้ยา ที่สำคัญยิ่งรักษาเร็วยิ่งลดความเสี่ยง เพราะทิ้งไว้เรื้อรังจะสุ่มเสี่ยงที่อาจจะไปทำผิดกฎหมายได้ อีกทั้งอาจเป็นอันตรายทั้งต่อร่างกายตนเองและผู้อื่นด้วย ซึ่งสำหรับการมีเซ็กซ์กับสัตว์นั้น ก็เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพราะถือเป็นการทรมานสัตว์”… โฆษกกรมสุขภาพจิตระบุ

ใคร “มีอาการเข้าข่ายสัญญาณเสี่ยง”

ก็ “อย่ามัวอายควรรีบปรึกษาแพทย์”

เพราะ “ป่วย…ชีวิตพังยิ่งกว่าอาย!!”.