ใครได้มีโอกาสนั่งดูเกมรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 คู่ของศึกยูโร 2020 หนนี้ น่าจะมีอาการคล้าย ๆ กันไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลทีมไหน นั่นคือนั่งไม่ติดเก้าอี้ หัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตลอดทั้ง 120 นาที

เพราะทั้ง 2 เกมถือเป็นเกมระดับคุณภาพที่สนุกสนานตื่นเต้น ผิดวิสัยเกมรอบลึก ๆ ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ที่มักจะระวังตัวกันแจ จนถึงขั้นน่าเบื่อในหลาย ๆ ครั้ง

เกมรอบตัดเชือกคู่แรกระหว่าง สเปน กับ อิตาลี เมื่อวันอังคาร เป็นเกมที่ทั้ง 2 ทีมงัดจุดแข็งของตัวเองมาสู้กันได้อย่างสนุก “กระทิงดุ” ใช้การต่อบอลที่แม่นยำ และครองเกมเดินหน้าบุกกดดันเข้าใส่คู่แข่งไม่ให้โงหัว

ขณะที่ “อัซซูรี” ที่แม้ทัวร์นาเมนต์นี้จะมาในมาดใหม่ คือเพรสซิงและบุกใส่คู่แข่งในสไตล์เฮฟวีเมทัล แต่พอเจอคู่ต่อสู้อย่าง สเปน ที่ครองบอลเหนียวแน่นเซตเกมเข้าใส่ พวกเขาก็งัดดีเอ็นเอความเป็นอิตาลี ที่มีเกมรับเป็นจุดแข็งมาสู้

และโชคดีที่คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี กับ เลโอนาร์โด โบนุชชี มีทั้งลูกเก๋าและความเข้าขากันอย่างที่หาคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่ไหนในโลกเสมอเหมือน ทีมของ โรแบร์โต มันชินี จึงต้านทานเกมบุกของ สเปน ที่ถาโถมเข้าใส่พวกเขาไว้ได้ และพอถึงช่วงดวลจุดโทษมันก็ 50-50 และเป็น จานลุยจิ ดอนนารุมมา ที่โชว์หนึบเซฟจุดโทษพาทีมเข้าชิงจนได้

ส่วนเกมคู่ อังกฤษ กับ เดนมาร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น อัตราความสนุกเข้มข้นของเกมไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน แม้บนหน้ากระดาษก่อนเกม “สิงโตคำราม” จะดูเป็นต่อ แต่ไม่ได้กินพลพรรค “โคนม” ที่เป็นม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์ได้ง่าย ๆ แถมบางช่วงยังโดนลูกทีมของ แคสเปอร์ ยุลมานด์ ซัดเอาโคลงเคลงไปเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ลูกทีมของ แกเรธ เซาธ์เกต ทำได้ดีและเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในเกมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คือเรื่องของสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ทั้งที่นักเตะในทีมจะอายุเฉลี่ยไม่เยอะ อีกทั้งยังออกอาการรวนและโดนยิงนำไปก่อนจากลูกฟรีคิดสุดสวยของ มิคเคล ดามส์การ์ด ซึ่งถือเป็นประตูแรกที่พวกเขาโดนเจาะในทัวร์นาเมนต์นี้

ซึ่งถึงตรงนั้น หลายคนอาจมองว่า อังกฤษ เปรียบเหมือนนักมวยที่ไม่เคยโดนหมัดคู่ต่อสู้ พอโดนเข้าจัง ๆ อาจยืนไม่อยู่ แต่ขุนพล “สิงโตคำราม” รวบรวมสมาธิกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาแค่ 9 นาทีในการไล่ตีเสมอ ไม่ปล่อยให้ทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันจากการเป็นรองนานเกินไป

และแม้ต้องปะทะกับ “มวยตัวใหญ่” อย่าง เดนมาร์ก ที่เน้นการใช้ลูกแข็งแรงเป็นหลัก แต่พวก “สิงโตคำราม” ก็สวมหัวใจสิงห์สู้ยิบตา จนสุดท้ายเบียดชนะ ผ่านเข้าชิงชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปีได้สำเร็จ

ซึ่งหากจะว่าไป คู่ชิงชนะเลิศของยูโร หนนี้ หากจะบอกว่าเป็น 2 ทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์มาเจอกัน ก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงนัด ทั้ง อังกฤษ และ อิตาลี ต่างทำผลงานได้คู่ควรกับการเป็นคู่ชิงชนะเลิศ เรียกว่าใช้ศักยภาพที่มีฝ่าฟันอุปสรรคมาตลอดทาง ไม่ใช่เป็นทีมที่ต้องกระเสือกกระสนและอาศัยโชคอย่างคู่ชิงในหลาย ๆ ทัวร์นาเมนต์

ดังนั้น เกมคู่ชิงชนะเลิศ ระหว่าง อังกฤษ กับ อิตาลี ในคืนวันอาทิตย์นี้ จึงถือเป็นคู่ชิงที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง อีกทั้งยังคู่คี่สูสีชนิด “เฮียเส็งชี้แดง เฮียแสงชีน้ำเงิน” ยากต่อการฟันธงกันเลยทีเดียว

แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าใครจะเป็นแชมป์…?
.
.
ผยองเดช