เรียกว่าสิ้นสุดการรอคอย สำหรับภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Dune หรือ “ดูน” ที่เหล่าคอหนังแนวแอ๊คชั่นไซไฟ รอคอยมานานแสนนาน หลังจากถ่ายทำจนกระทั่งรอวันฉายแล้วก็เจอปัญหาเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ คือ “โควิด-19” สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Dune ดูน” เดิมเรื่องนี้เป็นนิยายแนววิทยาศาสตร์เขียนโดย “แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1965 จำหน่ายได้มากกว่า 12 ล้านเล่มทั่วโลก

ก่อนจะถูกทำเป็นภาพยนตร์ออกฉายเมื่อปี 1984 ฝีมือผู้กำกับชื่อดังอย่าง “เดวิด ลินช์” ให้ชื่อภาษาไทยว่า “สมรภูมิจ้าวจักรวาล” แต่เพราะสมัยนั้นมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แถมตัวหนังยังโดนหั่นบทจนแทบไม่เหลือสภาพ เหมือนต้นฉบับ แต่ก็ยังมีแฟนหนังชื่นชอบอยู่พอสมควร

จนกระทั้่งในปี 2016 ทาง Warner Bros. จับมือกับ Legendary Pictures ผู้สร้างผลงาน CG ขั้นเทพอย่าง Godzilla vs. Kong ได้เริ่มทำหนังเรื่องนี้ โดยมีผู้กำกับอย่าง “เดอนี วีลเนิฟว์” ที่เคยโชว์ผลงานอย่าง Blade Runner 2049 (2017) และ Arrival (2017) ซึ่งทางผู้กำกับยังได้เผยกับสื่อต่างประเทศว่า สื่ออย่างนวนิยายและหนังนั้นมีความแตกต่างกันมาก ผู้สร้างหนังต้องเคารพไอเดียนักเขียน แต่ก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเพื่อนำเสนอในแบบฉบับของเราเอง

เรื่องย่อ
เรื่องราวของตระกูล “อาทีย์เดส” ผู้สูงศักดิ์ หลังจากพวกเขาได้เข้ามาปกครองดาวอันรกร้าง “อาราคิส” ที่ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องเทศหายากอันล้ำค่า ทำให้ตระกูลคู่อริอย่าง “ฮาคอนเนน” โกรธแค้นที่ต้องทิ้งดาวที่สร้างความมั่งคั่งทางการเงินไปเพียงเพราะพวกเขาต้องทำตามคำสั่งของจักรพรรดิ ทางเดียวที่จะได้ดาวดวงนี้คืนก็คือ ต้องฆ่าล้างตระกูล “อาทีย์เดส” ให้หมดไปเท่านั้น

เกมการเมืองและสงครามระหว่าง 2 ตระกูลจึงได้เริ่มขึ้น เมื่อ “ดุ๊ก เลโต” (รับบทโดย โอสการ์ อิซาอัก) ขุนนางและผู้นำตระกูล “อาทีย์เดส” ได้ถูกทรยศหักหลัง ขณะที่กองกำลังของเขาโดนทำลายล้างจนไม่มีเหลือ “พอล อาทีย์เดส” (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ทายาทเพียงคนเดียวต้องเผ่นหนีตายจากการไล่ล่า ทางเดียวที่เขาจะสามารถสู้กับเหล่าคู่อริได้คือ ไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายที่เรียกตัวเองว่า “เฟรเมน” ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่า “พอล อาทีย์เดส” คือผู้กอบกู้จักรวาลในรอบ 1000 ปี

จุดเด่นของ “Dune ดูน”
งานโปรดักชั่น CG ของ Warner Bros. จับมือกับ Legendary Pictures เนรมิตดวงดาวทะเลทรายสุดเวิ้งว้าง ที่เต็มไปด้วยหนอนยักษ์และแสงแดดที่ร้อนแรง ประกอบกับโชว์ชุดคอสตูมชุดเกราะป้องกัน ทั้งเกราะอ่อน เกราะหนัก แบบจัดเต็ม ถือเป็นหนังแนวสงครามอีกเรื่องที่มาแนวเดียวกับ Star Wars แต่มีความดาร์กและมิติที่ลึกกว่า

การโชว์ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี การใช้ชีวิตตามวิถีของดางดาว ผสมผสานกับความเชื่อด้านศาสนา สามารถทำออกมาได้แบบกลมกลืน วางโครงเรื่องได้กระชับเข้าใจได้ง่าย ทั้งยังแฝงมุมมองด้านความคิดทางการเมือง มีข้อความที่เป็นหลักปรัชญาแฝงหลายอย่าง ตัวเอกเป็นผู้ดำเนินเรื่องแบบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ชมแทบจะละสายตาจากจอไม่ได้ ทั้งที่หนังมีบทที่เนือยอยู่มาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดยืดเยื้อจนน่าเบื่อแต่อย่างใด

จุดอ่อนของ “Dune ดูน”
ตัวหนังพยายามจัดบทแอ๊คชั่นกับ “ทิโมธี ชาลาเมต์” เพื่อปูทางให้ตัวเอกดูเก่งกาจ อัจฉริยะ และสูงศักดิ์ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่สุด ภาพลักษณ์มีความเป็นคุณชายจริง แต่คิวบู๊ก็ยังเหมือนการต่อสู้ทั่วไป ทำให้ฉากการต่อสู้แบบดุเดือดจริง ๆ ของเรื่องนี้ถูกโยกไปให้กับ “เจสัน โมมัว” และ “จอช โบรลิน” สองแม่ทัพประจำตระกูล “อาทีย์เดส” รับหน้าที่ต่อสู้ตะลุมบอนแทน เช่นเดียวกับ “เซนเดย์อา” ที่มารับบท “ชานี่ย์ คราย” นางเอกของเรื่อง ก็ยังไม่มีความชัดเจนหรือบอกเล่าเรื่องราวลงลึกอะไรเลย นอกจากจะโผล่มาในฝันของตัวเอกอย่าง “พอล” เท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่าเรื่องนี้พยายามปูพื้นกรุยทางเพื่อจะไปยังภาค 2 ทำให้จิ๊กซอว์ของอารมณ์หนังขาดหายไปบางส่วน หนังมีช่องว่างอีกมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ ซาวด์เสียง ที่ดูจะเล่นใหญ่ไปแทบทุกฉาก ซึ่งบางทีก็ควรต้องมีความเงียบ เพื่อให้ผู้ชมได้เคลียร์อารมณ์หรือการรับฟังเสียบ้าง ไม่ใช่อัดซาวด์เพื่อสร้างอารมณ์ให้เกิดความอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความน่ารำคาญ

4/5 กะโหลก ฉากและงานสร้าง CG สุดล้ำ ภาพสวยจนต้องแนะนำให้ไปดูในโรง IMAX บวกกับพล็อตเรื่องชวนให้ต้องติดตาม เนื้อหาของหนังไม่ได้เนือย ทั้งยังชวนให้ติดตาม เพียงแต่พลาดตรงการใช้ดาราแม่เหล็กมาแสดงยังไม่คุ้มกับบทที่ได้รับเท่าที่ควร และเสียงซาวด์บางช่วงที่ดูหนักหน่วงจนหูไม่ได้พัก


คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้ว

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก Warner Bros. และ Youtube