เรียน คุณหมอ ดร.โอ สุขุมวิท 51 ที่นับถือ
ผมอายุ 78 ปี ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังมาเป็นเวลา 15 ปี ปัจจุบันได้รับการปลูกถ่ายไตเรียบร้อยแล้ว มีปัญหาอยากจะเรียนถามคุณหมอว่าหลังจากที่ได้รับการปลูกถ่ายไตมาได้สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มมีอาการองคชาตไม่แข็งตัวจนไม่สามารถร่วมเพศได้ นอกจากนี้ก็เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่ายมาก และไม่มีอารมณ์ทางเพศเลย ยิ่งทำให้เป็นทุกข์ใจมากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้เข้ารับการตรวจร่างกายประจำปีพบว่ามีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำร่วมด้วย
จึงอยากทราบว่าจะมียาอะไรที่ช่วยรักษาอาการองคชาตไม่แข็งเต็มที่ได้บ้าง ในคนไข้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว ที่ไม่มีผลอันตรายต่อโรคที่เป็นอยู่ เพราะต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันในเลือดอยู่
ด้วยความนับถือ
เชษฐา
ตอบ เชษฐา
ชายวัย 78 ปี หลังจากได้รับการปลูกถ่ายไตแล้วเกิดมีอาการองคชาตแข็งตัวไม่เต็มที่ พร้อมกับมีภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน แต่ด้วยต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันในเลือดจึงเกรงว่าหากกินยาฟื้นฟูแล้วจะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย การผ่าตัดปลูกถ่ายไตถือว่าเป็นการรักษาไตเรื้อรังที่หายขาด
สำหรับผลข้างเคียงของการปลูกถ่ายไตได้ ที่สำคัญคือ การสลัดไต ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกินยากดภูมิคุ้มกันหลังปลูกถ่ายไตไม่สม่ำเสมอ เมื่อเกิดการสลัดไต หน้าที่ไตจะทำงานลดลงอาจนำไปสู่ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ทำให้ผู้ป่วยต้องกลับมาล้างไต หรือรอผ่าตัดปลูกถ่ายไตอีกครั้ง ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติเนื่องจากผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน และในผู้ป่วยบางรายอาจมีผลข้างเคียงของยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ได้แก่ หน้าบวม น้ำหนักเพิ่มขึ้น เกิดสิว ขนขึ้นตามใบหน้า ต้อกระจก เบาหวาน กระเพาะอาหารอักเสบ ความดันโลหิตสูง และกระดูกพรุน ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกันติดต่อกันระยะยาวจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติได้
จากการศึกษาประเมินยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ในคนไข้หลังปลูกถ่ายไตแล้วมีอาการอีดี ในขนาดยา 25, 50 และ 100 มิลลิกรัม โดยให้กินสัปดาห์ละครั้งถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ร่วมกับการได้รับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนทดแทน ชนิดแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 250 มิลลิกรัม เป็นเวลานาน 12 เดือน ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย จำนวน 12 ราย ซึ่ง 8 รายเป็นผู้ป่วยเปลี่ยนไต พบว่าผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีการแข็งตัวขององคชาตดีขึ้น และร้อยละ 60 พึงพอใจมากต่อผลการรักษานี้
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงความปลอดภัยที่มีผลต่อไต และต่อความเข้มข้นของยากดภูมิคุ้มกันในเลือดโดยศึกษาในผู้ที่เปลี่ยนไตที่เป็นอีดีจำนวน 39 ราย ซึ่งได้รับยาในกลุ่มดังกล่าว พบว่ามีคะแนนไอไออีเอฟ เพิ่มขึ้นจาก 12.6±3.4 เป็น 26.5±8 และมีรายงานผลข้างเคียงแค่ปวดศีรษะ ใจสั่น และหน้าแดง เพียง 4 รายเท่านั้น การได้รับการฟื้นฟูอาการอีดีที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อตัวคุณมากที่สุด คือการเข้ารับรักษาจากแพทย์ เพราะแพทย์จะประเมินอาการอีดีและโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เพื่อพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้มากที่สุด แต่การซื้อยากินเองนั้นนอกจากจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร เสี่ยงมากก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตเป็นการตีราคาชีวิตตัวเองไว้ถูกมากทั้ง ๆ ที่ความปลอดภัยของร่างกายคุณมีค่ามากที่สุด.
…………………………………….
ดร.โอ สุขุมวิท51