เนื้อความข้างต้นนี้เป็นบางช่วงบางตอนจากเกริ่นนำโดย ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ ที่ระบุไว้ในบทความ “กระจกสังคมประเทศไทย ปี 2567” ซึ่ง ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จัดทำและเผยแพร่ผ่าน www.sac.or.th โดยเป็นมุมมองนักวิชาการ-นักวิจัย ที่มีต่อ “เหตุการณ์สถานการณ์” รวมถึง “กระแสต่าง ๆ”

เพื่อ “สะท้อนภาพสังคมไทย” ในปีนี้

ผ่านมุมมองมานุษยวิทยาสังคมวิทยา

ในการจัดทำบทความดังกล่าว ดร.นฤพนธ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและส่งเสริมวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ระบุไว้บางช่วงบางตอน โดยสรุปมีว่า… หากเปรียบกับกระจกแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นกระจกที่เป็นภาพตัวแทนกรณีต่าง ๆ เช่น กระจกบานที่เป็นภาพตัวแทน “การดิ้นรนของการโกหกหลอกลวง” กระจกบานที่เป็นภาพตัวแทน “ความยากจนที่เรื้อรังและซ่อนเร้น” กระจกบานที่เป็นภาพตัวแทน “วงจรความศรัทธาที่ล่อแหลม” กระจกบานที่เป็นภาพตัวแทน “เส้นแบ่งของการหลงรักและเกลียดชัง” หรือกระจกบานที่เป็นภาพตัวแทน “บทพิสูจน์ระบบผัวเดียวเมียเดียว” …นี่เป็นตัวอย่าง “กระจก” ที่สะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดในประเทศไทยปี 2567 นี้

ทั้งนี้ ในแหล่งข้อมูลที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” นำข้อมูลมาสะท้อนต่อวันนี้ มีนักวิจัยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรที่สะท้อนมุมมอง “ธุรกิจขายฝัน ที่ในปีนี้ เกิดกระแสอื้ออึงหลายเรื่อง มีตัวละครเกี่ยวข้องหลายวงการ มีเหยื่อและมูลค่าความเสียหายมากจนน่าตกตะลึง โดยประเด็นนี้ ปิยนันท์ จินา นักวิจัยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้ฉายภาพไว้ในหัวข้อ“บอสรวยสอนลูกข่าย : การตลาดเล่าเรื่อง ธุรกิจขายฝันกับความหวังในโลกทุนนิยม” ซึ่งจะน่าสนใจ-น่าคิดเช่นไร? ลองมาดู…

ทาง ปิยนันท์ ฉายภาพไว้ว่า… ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” เป็น “วลีเด็ด” ของบางเครือข่ายธุรกิจขายของออนไลน์มูลค่านับพันล้าน ที่ฉากหน้าผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ แต่กลับเป็น ธุรกิจเครือข่ายคล้ายแชร์ลูกโซ่ในอดีต โดยทำให้มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่ก็น่าสนใจคือ… แล้ว ธุรกิจเหล่านี้ทำงานอย่างไร? และเหตุใดจึงยังมีคนหลงเชื่อ?โดยเรื่องนี้นักวิจัยท่านเดิมระบุไว้ว่า…คำตอบ” ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้นั้นอาจจะอยู่ที่ “การตลาดแบบเล่าเรื่อง(Storytelling marketing)”เนื่องจาก “ธุรกิจแบบพีระมิด” นั้น ต้อง มีบุคคลต้นแบบที่พูดสร้างแรงบันดาลใจจูงใจกลุ่มเป้าหมาย

ขณะที่ “โครงเรื่องหลัก” ที่ธุรกิจประเภทนี้มักจะนำมาใช้นั้น…หากไม่ใช่การ อวดแสดงความสำเร็จ ก็มักจะเป็นการ เชื่อมโยงประสบการณ์สู้ชีวิต กับความขาดโอกาส และความหวัง ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเมื่อบุคคลต้นแบบยิ่งเล่าเรื่องว่าเคยใช้ชีวิตแร้นแค้นเพียงใด ก็ยิ่งตอกย้ำกับผู้ฟังว่า…คนที่มีต้นทุนชีวิตน้อยกว่าก็ยังประสบความสำเร็จได้ …นี่เป็นตัวอย่างที่มีการสะท้อนไว้ในบทความ ที่ฉายภาพ “พลังของการตลาดเล่าเรื่อง” ที่ “ธุรกิจขายฝันนิยมนำมาใช้” จูงใจกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากการอวดแสดงความสำเร็จ และเชื่อมโยงประสบการณ์สู้ชีวิตกับผู้ฟังแล้ว ผู้เล่ามักย้ำให้เห็นว่าหากอยากประสบความสำเร็จหรืออยากรวยก็ต้องทำธุรกิจ ไม่ใช่เป็นลูกจ้าง รวมถึงล่อใจด้วยผลตอบแทนที่จะได้รับหากร่วมลงทุน ที่หนีไม่พ้นเรื่องของเงินทอง สิ่งของ สิทธิพิเศษอื่น ๆ เป็นต้น” …เป็นภาพที่นักวิจัยท่านนี้สะท้อนไว้

ทั้งนี้ กับ “จุดเด่น” ที่สังเกตได้ชัดของ “ธุรกิจขายฝัน” นั้น ก็มีการสะท้อนมุมมองไว้ว่า… ธุรกิจแบบนี้ มักอธิบายตัวเองว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย? มีการ บอกว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ได้ผลตอบแทนสูง? ซึ่งย่อมดึงดูดใจสำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินทองมากมาย โดยการเล่าเรื่องแบบนี้มีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อกระตุ้นให้คนที่ไม่เคยลงทุนกล้าลองกล้าเสี่ยง …นี่เป็นมุมวิเคราะห์น่าสนใจ กรณี “ธุรกิจขายฝัน” ที่ปี 2567 นี้ “เป็นประเด็นร้อนฉ่า!!”

แล้วปรากฏการณ์เรื่องนี้ ใน “มุมมานุษยวิทยามุมสังคมวิทยา” มองเห็นอะไรจากกรณีนี้บ้าง??… กับประเด็นนี้ทาง ปิยนันท์ ระบุไว้ว่า… คดี “หลอกหากินกับความหวัง” เหล่านี้ “ช่วยเผยให้สังคมไทยได้เห็นว่าความฝันของคนไทยในโลกทุนนิยมมีหน้าตาอย่างไร?”โดยเมื่อพิจารณาจากแรงจูงใจของเหยื่อจะพบหน้าตาความฝัน ที่ มีตั้งแต่การพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นกับดักความยากจน การไต่บันไดทางสังคม การเลื่อนระดับชนชั้น การไล่ตามความฝัน แบบทุนนิยม

และนอกจากนั้นก็ยัง สะท้อน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” มากมาย อาทิ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ ที่มีความผันผวน การจ้างงานที่ยืดหยุ่น แต่ก็เสี่ยงต่อการเลิกจ้าง หรือการเป็นสังคมไร้ตาข่ายความมั่นคง ที่ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุสำคัญ “บีบให้ผู้คนแสวงหาทางรอดผ่านการลงทุนในชีวิตกันเอง” และรวมถึงทำให้ “สังคมหันไปบูชาความสำเร็จแบบสำเร็จรูปและเร่งด่วน” เพิ่มขึ้น ด้วย ฝันว่าจะประสบความสำเร็จจะรวยได้โดยไม่ต้องลงแรง??

คดีเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่อาชญากรรมฉ้อโกง แต่ยังเป็นภาพสะท้อนสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมด้วย ตราบใดที่เงื่อนไขเชิงโครงสร้างเป็นเช่นนี้ การเล่นกับความฝันของผู้คนก็น่าจะยังเกิดขึ้นอีกด้วยเทคนิคคล้าย ๆ เดิม”…เป็นมุมวิเคราะห์โดย ปิยนันท์ นักวิจัย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ต่อ “ธุรกิจขายฝัน”ที่ในปี 2567 ก็อื้ออึงมาก…

เป็นอีกส่วนของ “กระจกสะท้อนไทย”

โดยที่ “ภาพสะท้อนนี้อาจยังมีซ้ำ ๆ”

ภาพ “หลอกหากินกับความหวังคน”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์