รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นปีแห่งมรสุมทั้งการเมืองร้อนและสภาพดินฟ้าอาการแปรปวน ทั้งภาคเหนือภาคใต้เจออุทกภัยอย่างแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายทุกรูปแบบ ปฎิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหลักใหญ่ คือ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน และด้วยสถานการณ์ต่างๆนำมาซึ่ง “โจทย์ใหญ่สุดหิน” ทั้งผู้นำประเทศและทีมกุนซือรัฐบาล ต้องเข็นนโยบายหลักสำคัญโดนใจตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ภายใต้ฉายา “รัฐบาล พ่อเลี้ยง”จะเดินหน้าอย่างไร เพื่อโกยแต้มเรียกศรัทธาให้กลับคืนมา

 “ทีมการเดลินิวส์” จึงต้องไปสนทนากับแกนนำรัฐบาลคนสำคัญมือประสานสิบทิศ อย่าง “บิ๊กอ้วน“ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ต้องรับบทหนักในการระวังหลังให้กับ นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร เข้ามากุมบังเหียนในกองทัพจนได้รับฉายาให้เป็น “สหายใหญ่ใส่บู๊ต” ถึงทิศทางการบริหารงานของรัฐบาลในปี 68 ตั้งเป้าไว้อย่างไรบ้าง

โดย “บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม” กล่าวว่า  ปี 68 เป็นปีแห่ง “โอกาส” ที่ “พรรคเพื่อไทย” และ “รัฐบาล” จะมอบให้กับ “คนไทย” โอกาสเป็นคำสั้นๆเล็กๆแต่มีความหมาย ว่า สิ่งที่ยังเป็นปัญหาของประชาชน คือ “โอกาส”  โอกาสในการรื้อฟื้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาชีวิต และการมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต สิ่งเหล่านี้อยู่ในนโยบายของรัฐบาล เพราะต้องยอมรับว่าเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมาประเทศไทยถดถอยและบอบช้ำมากในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ในขณะนั้นความเชื่อมั่นทางการเมืองไม่มี ทำให้คนกังวลใจ และต่างประเทศก็กังวล จึงทำให้เศรษฐกิจของเราถดถอย ประกอบกับวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นปัญหาที่เป็นภัยร้ายแรง ที่รัฐบาลมองเห็น คือ 1.การฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2. ต้องลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ 3.ขยายโอกาส เราจะต้องทำทุกอย่าง 3 เรื่องควบคู่กันไป

 “พายุทางเศรษฐกิจ จะหวังให้เกิดขึ้นแบบตูมเดียว  คงไม่เกิดแบบนั้น แต่จะเกิดคลื่นเป็นระลอกๆ อาจเกิดความไม่เชื่อถือ รัฐบาล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรัฐบาลเพิ่งทำงานได้  90 วัน ทั้งหมดเพิ่งเริ่มต้น จึงคิดว่าปีหน้านโยบายที่ได้ประกาศออกไป จะสร้างโอกาสให้คน ไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างที่เราตั้งเป้าหมายไว้”

@ การที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเข้ามาช่วยพรรคเพื่อไทยชัดเจนแบบนี้ จะทำให้พรรคดีขึ้นและสามารถเรียกคะแนนศรัทธาได้จริงหรือไม่ เพราะมีเสียงต่อต้านเยอะ 

 “ทักษิณ” เป็นผู้ที่ที่มีประสบการณ์ และผลงานที่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ การที่ “ทักษิณ”กลับมาและมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยในแง่ของผู้เคยก่อตั้งพรรคมา ก็เป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของ “ทักษิณ”เป็นผลบวกและสร้างคุณให้กับพรรคเพื่อไทย  บทบาทของที่ออกมาช่วยพูดเสนอแนวทาง และแก้ปัญหาต่อสาธารณะ หลายเรื่องเราหยิบมาพิจารณาและนำมาปรับให้เหมาะสม ถ้าเราเห็นว่าตรงนั้นเป็นแนวความคิดที่แก้ไขปัญหาได้

 “ผมยังเชื่อว่าเป็นบวกมากกว่าเป็นลบ ดีเอ็นเอเราตรงกัน เราเห็น เราฟังแล้วเราเข้าใจ แต่ที่หลายคนเขาไม่เชื่อมั่น เพราะเขายังไม่เข้าใจวิธีคิดของเรา ฉะนั้นตรงนี้เชื่อว่า จะเป็นคุณกับพรรคเพื่อไทยมากกว่าเป็นโทษ ไม่มีอะไรน่ากังวล ท่านทำในบทบาทที่ท่านทำได้ และความเกี่ยวพันกับพรรคเพื่อไทย ท่านไม่ได้มาเกี่ยวพันอะไรมาก ผมคิดว่าสิ่งที่คุณทักษิณเข้ามาก็เหมือนกับคนอื่นที่เข้ามา มันไม่ถือว่าเข้ามาครอบงำ ถ้าแบบนั้นคนครอบงำพรรคก็มีเยอะแยะไปหมด”

@ดูเหมือนว่าการทำหน้าที่ของรัฐบาล เดินหน้าไม่สุด เพราะมีพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่ค้านทุกเรื่องที่พรรคเพื่อไทยทำ ตรงนี้จะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลสะดุดหรือไม่

ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เราทำงานร่วมกันมาความเห็นที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นสีสันในระบอบประชาธิปไตย  คนเห็นต่างได้ แต่ว่าทั้งหมดก็เป็นไปตามกลไก ถ้าเป็นรัฐบาลร่วมกันเห็นอะไรร่วมกัน ทำงานร่วมกันก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันต่อไป แต่ถ้าเห็นว่าแตกต่างแล้วมันผิดจากเจตนารมณ์ของตัวเอง เขาก็มีสิทธิ์เลือก ไม่จำเป็นต้องไล่ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้

“ตรงนี้ถ้าเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะพรรคร่วมรัฐบาลหากคิดว่านโยบายที่เราทำไม่ตอบโจทย์ประชาชน และเขาไม่เห็นด้วยก็ถอนตัวได้  ในฐานะผู้ประสานงาน ยืนยันได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังพูดคุยกันดี  ไม่มีปัญหาอะไร ความเห็นแตกต่าง ก็จะต้องมาพูดคุยและทำความเข้าใจกัน”

@ สแกนจุดอ่อน จุดแข็งของรัฐบาล มีอะไรที่ต้องปรับหรือไม่ 

จุดแข็งของรัฐบาล คือ เรามีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ยืนยันได้ว่าเราสามารถพูดคุยกันได้ ความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดาในเรื่องนโยบาย แต่ส่วนใหญ่แล้ว หากไม่เข้าใจในประเด็นที่เสนอมาหรือขาดความเข้าใจร่วมกันก็ต้องมาพูดคุยกัน ทุกอย่างมันก็จบ ถือเป็นจุดแข็ง เพราะรัฐบาลที่มาร่วมกัน มาด้วยจุดประสงค์เห็นวิกฤติของบ้านเมืองและยินดีที่จะร่วมกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรกที่ทุกคนให้ความสนใจ

ขณะที่จุดอ่อนของรัฐบาล ต้องยอมรับว่าถ้าเป็นในแง่ของพรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายค้านมานานพอมาเป็นรัฐบาล เราก็ต้องมาเรียนรู้กลไกต่างๆ เพราะแตกต่างจากสมัยที่เราเคยเป็นรัฐบาล ทั้งเรื่องโลกไซเบอร์  และการคัดค้านต่อต้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ถ้ามองในแง่ประชาธิปไตยก็เป็นสิทธิ์ที่จะเสนอความคิดเห็น แต่เกือบทุกเรื่องขาดการไตร่ตรอง เสนอมาเรายังไม่ทันทำอะไร บางเรื่องไปไกลเกินจากสิ่งที่ควรเป็น ต้องเลิกที่จะฟ้องดะไปทั่ว ขอให้ใช้ข้อเท็จจริงมาถูกผิดอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การบริหารอารมณ์หรือการบริหารกระแส

@ ในส่วนของกองทัพ มีนโยบายอะไรที่ต้องขับเคลื่อนเป็นพิเศษ และมีอะไรที่ปฏิรูปได้สำเร็จในปีหน้า

ผมเข้ามาอยู่กระทรวงกลาโหม ได้ 3 เดือน เริ่มแรกพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของการเป็นกองทัพ หรือทหาร  เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของทหารชั้นผู้น้อย พลทหาร ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง แล้วมากำหนดเป็นนโยบายในการดูแลสวัสดิการโดยเรื่องที่อยู่อาศัยของทหารชั้นผู้น้อยที่เกษียณอายุข้าราชการไปแล้วต้องออกไปอยู่ข้างนอก ก็จะไม่มีที่อยู่อาศัย จึงคิดเรื่องการดูแลสวัสดิการให้มีบ้านเป็นของตัวเอง หลังเกษียณอายุราชการ ถือเป็นเรื่องหนักที่จะต้องคิด

ส่วนเรื่องเกณฑ์ทหาร อย่างสมัครใจ ได้พูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพ ไม่มีใครขัดข้อง  แต่เราต้องเข้าใจวิถีกองทัพก็ต้องมีลักษณะพิเศษ มีกองพลที่พร้อมรบประจำการตลอดเวลา เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายปีหน้าจะมีการทดลองให้กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เข้ามาเป็นสัสดี ช่วยสัสดีทหารบก  ซึ่งปัจจุบัน 2 เหล่าทัพ ไม่มีสัสดีมีแต่ทหารบก โดยสมัครใจ  ขณะเดียวกันยังมีนโยบายเรื่องการสร้าง  ซึ่งขณะนี้กำลังประสานกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดคุยกับกองทัพเพื่อพัฒนาหลักสูตรด้านไซเบอร์  ให้มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือของกองทัพให้ทันกับโลกสมัยใหม่  นอกเหนือจากหลักสูตรพื้นฐานตัดผม ก็ยังคงทำต่อไป รวมถึงนโยบายการลดกำลังพลเราได้ทำไปแล้ว และจะทำต่อ วางไว้ว่าจะลดให้ได้ 1 ใน 4 หรือครึ่งหนึ่ง  โดยจะลดปีละ 5% ในปี 2570 ถึงปี 2571 ให้หมด

“ทั้งหมดอยู่ภายใต้นโยบายเปลี่ยนผ่าน คำว่าเปลี่ยนผ่าน คือ ยังไม่เห็นทันที แต่มีจุดเริ่มต้น มีจุดที่พัฒนาต่อ และมีจุดสุดท้ายที่จะจบจึงอยากให้ใจกว้างกับทหารยุคนี้ ที่กำลังดำเนินการ เขามีความมุ่งมั่นในเรื่องที่เขารับผิดชอบ เขาต้องดูแลสถาบันของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และดูแลอธิปไตยของประเทศ ถ้าเราเข้าใจคำว่าเปลี่ยนผ่าน จะเห็นพัฒนาการของกระทรวงกลาโหมในยุคปัจจุบันพัฒนาไปในแนวทางที่ดี ทหารมีอะไรที่ดีเยอะ”