เมื่อหลายวันก่อน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ให้ความเห็นกรณีอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 67 อยู่ที่ 0.40% ว่ามีความกังวล เพราะเป็นตัวเลขที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) กำหนดไว้ที่ 1-3%

โดยก่อนหน้านั้น เคยได้รับสัญญาณมาจากแบงก์ชาติถึงเหตุผลที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ว่าในที่สุดแล้วอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ในช่วงสิ้นปี 67 แต่ผลก็ออกมาชัดเจน เหมือนที่กระทรวงการคลังเคยพูดไปก่อนหน้านั้นแล้วว่า อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายค่อนข้างเยอะ โอกาสที่เงินเฟ้อจะเข้าถึงกรอบเป้าหมายแทบจะไม่มีเลย ถ้าไม่ทำอะไร

พยัคฆ์น้อย” เห็นใจนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ต้องถกกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ อีกหลายรอบ! แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจะสะท้อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย “จีดีพี” มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นบ้างแล้ว

แต่อัตราเงินเฟ้อยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องและกระทบกับหลายภาคส่วน และเงินเฟ้อสะท้อนตรงไปที่นโยบายการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆของแบงก์ชาติ

เมื่อปี 66 ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดทำกำไรสุทธิรวมกันถึง 232,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวกันของปี 65 ที่มีกำไรสุทธิ 200,542.75 ล้านบาท

ขณะที่ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 67 แตะ 1.92 แสนล้านบาท จากอานิสงส์ของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

ดังนั้นในช่วง 3 ปี (ปี65-67) ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์เศรษฐาแพทองธาร ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง จะกวาดกำไรสุทธิรวมกันไม่ต่ำกว่า 650,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน! ซึ่งคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ไม่ใช่เพราะนโยบาย “ดอกเบี้ยแพง” ของแบงก์ชาติ

วันนี้ “นายแบงก์” รวยเละ! แต่ประชาชนส่วนใหญ่จนกรอบ! จากหนี้ครัวเรือนสะสมกันมาหลายปี ขณะที่ “จีดีพี” ขยายตัวต่ำมายาวนาน รายได้โตไม่ทันกับรายจ่าย รวมทั้งภาระหนี้สินและดอกเบี้ยแพง!

ปัญหาใหญ่ของประเทศในเวลานี้ คือกำลังซื้อของประชาชนมีน้อย ส่งผลทำให้การจับจ่ายใช้สอยเป็นไปอย่างเงียบเหงา ร้านค้า ร้านอาหาร บ่นว่าขายของไม่ค่อยดี รวมไปถึงยอดการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ๆ ที่ขนส่งจังหวัดบางแห่ง ลดลงถึง 50%

ปี 68 จึงเป็นงานหนัก! ของรัฐบาล น..แพทองธาร ชินวัตร จะต้องมีนโยบายมาตรการต่าง ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ และปลุกกำลังซื้อ ตั้งแต่ไตรมาส 1/68 เพราะแค่การแจก “เงินหมื่น” สำหรับผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านคน ก่อนตรุษจีนปีนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดมัลติพลายเออร์ เอฟเฟกต์ ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากนัก

ดังนั้นจึงต้องมีก๊อกที่ 3 คือ “เงินหมื่น” สำหรับคนลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐอีกประมาณ 20-22 ล้านคน น่าจะจ่ายก่อนสงกรานต์เดือน เม.ย. 68

ปัจจุบันมีแต่คนถามว่า รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจากการแจก “เงินหมื่น” เฟส 2-3 !!

……………………………………
พยัคฆ์น้อย

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…