ธุรกิจ “เอสเอ็มอี” ทั่วประเทศเกือบ 3.2 ล้านราย เดือดร้อนกันมาหลายปีแล้ว จากสารพัดปัญหารุมเร้า เช่น เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมายาวนาน คนไทยมีกำลังซื้อน้อย, ดอกเบี้ยแพง และโควิด-19 ระบาด
แม้ว่า “เอสเอ็มอี” บางกลุ่ม ในบางจังหวัด เริ่มมีความหวังมากขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวปี 67 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเมืองไทยทะลุ 35 ล้านคน
นอกจาก “เอสเอ็มอี” ตอนนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเหนื่อยจากภาวะการขายฝืด! เพราะปัญหาเศรษฐกิจ–ตลาดหุ้น–ดอกเบี้ยแพง–กู้ผ่านยาก!
ข้อมูลจาก ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังมีที่อยู่อาศัยรอขายในมือผู้ประกอบการมากถึง 234,628 หน่วย ในจำนวนนี้มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อหน่วย มากถึง 114,417 หน่วย ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และห้องชุด
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 68 ตัวแทนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง ได้เข้าหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เพื่อขอให้พิจารณามาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ใน 4 ข้อเสนอ ได้แก่ ลดค่าธรรมเนียมโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองเหลือ 0.01% สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68
มาตรการวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ผ่านธนาคารของรัฐ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ, ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 68 ในอัตรา 50% และลดขนาดที่ดินของโครงการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและขนาดของครอบครัว
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น การเงินการธนาคาร-ก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้าง-ออกแบบ-ตกแต่ง-เฟอร์นิเจอร์-แรงงาน ถ้าบ้านจัดสรร-คอนโดฯ มีภาวะการขายฝืดๆ ภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนไปด้วย ลุกลามไปสู่ปัญหาคนว่างงาน-ตกงาน
วันก่อน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่าประเทศไทยอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลงเรื่อย ๆ เศรษฐกิจไทยหลังจากนี้จะฟื้นตัวอย่างกระท่อนกระแท่น แม้ครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ดี แต่ครึ่งปีหลังขยายตัวอย่างจำกัด ภายใต้การสนับสนุนจากภาคการคลังที่จำกัด
หากแบงก์ชาติ หรือคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ไม่ลดดอกเบี้ย หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยนโยบายเลย อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เข้ามากระทบตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
ดอกเบี้ยนโยบายควรลดลงนานแล้ว และไม่มีเหตุจำเป็นที่แบงก์ชาติต้องขึ้นดอกเบี้ยมาสู่ 2.50% หลังจากโควิด-19 อีกทั้งหากดูภายใต้เงินเฟ้อปี 67 ขยายตัวเพียง 0.4% ดอกเบี้ยในปัจจุบันจึงถือว่าสูงเกินไป!
“หากแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย เราคงไม่วิกฤติหรอก แต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะยากขึ้น” ดร.ศุภวุฒิว่าไว้อย่างนั้น!!.
……………………………………………
พยัคฆ์น้อย