แม้บริษัท นิปปอน สตีล ยกย่องข้อตกลงมูลค่า 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 517,000 ล้านบาท) ว่าเป็นเส้นชีวิตสำหรับบริษัทคู่แข่งสัญชาติอเมริกันที่กำลังเสื่อมโทรม แต่ฝ่ายคัดค้านเตือนว่า บริษัทญี่ปุ่นจะปรับลดตำแหน่งงาน

ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการประกาศเมื่อปี 2566 และเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการพูดถึงมากที่สุด ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งในเวลานั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ และตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ต่างคัดค้านข้อตกลงนี้

ด้านคณะกรรมาธิการด้านการลงทุนต่างชาติในสหรัฐ (ซีเอฟไอยูเอส) ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ และโยนความรับผิดชอบให้กับไบเดน ซึ่งกล่าวเช่นเดียวกับทรัมป์ว่า เขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของนิปปอน สตีล โดยอ้างถึง “ความมั่นคงแห่งชาติ” และกล่าวโทษนโยบายการค้าระดับโลกที่ไม่เป็นธรรม โดยชี้ไปที่จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับการเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมเหล็กในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมญี่ปุ่นระบุว่า การตัดสินใจของสหรัฐ “ไม่สามารถเข้าใจได้” ขณะที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ผู้นำญี่ปุ่น เรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตัน “อธิบายเหตุผลอย่างชัดเจน”

ก่อนหน้านี้ สหรัฐขัดขวางการเข้าซื้อกิจการของบริษัทจีน แต่กรณีของญี่ปุ่นนั้นต่างออกไป เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด ทั้งในด้านยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลวอชิงตันก็พึ่งพารัฐบาลโตเกียวเป็นอย่างมาก ในการช่วยต่อต้านจีน

นางซาราห์ บาวเออร์เล แดนซ์แมน จากสภาแอตแลนติก กล่าวว่า นี่เป็นครั้งเดียวที่ซีเอฟไอยูเอส ถูกใช้เพื่อยับยั้งข้อตกลงที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของจีน และการตัดสินใจของไบเดน แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตครั้งสำคัญ ต่อการตีความเรื่องความมั่นคงแห่งชาติแบบดั้งเดิมของซีเอฟไอยูเอส

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สันทัดกรณีหลายคนกล่าวเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจของรัฐบาลวอชิงตันในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนระหว่างประเทศในอเมริกา รวมถึงเศรษฐกิจทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐ เนื่องจากธุรกิจในอนาคตระหว่างสองประเทศ เกิดการชะงักงัน

อนึ่ง กลุ่มธุรกิจ “เคไซ โดยุไค” ระบุในรายงานว่า การกีดกันทางการค้า มีแนวโน้มที่จะเข้มงวดมากขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ของทรัมป์ ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงควรกระจายความเสี่ยงด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐโดยสมบูรณ์

“การตัดสินใจของไบเดน อาจเปิดประตูให้เกิดข้ออ้างเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติที่น่าสงสัยยิ่งขึ้น ซึ่งจะบ่อนทำลายความไว้วางใจของประเทศพันธมิตรที่มองว่า สหรัฐเป็นคู่ค้าที่น่าเชื่อถือ และสิ่งนี้จะขัดขวางความคืบหน้าในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สำหรับสินค้าสำคัญอื่น ๆ นอกจากเหล็กกล้า” บาวเออร์เล แดนซ์แมน กล่าวทิ้งท้าย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP