โครงการดังกล่าวเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหามื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้กับเด็กเล็ก ทารก สตรีมีครรภ์ และสตรีที่กำลังให้นมบุตร อีกทั้งวิสัยทัศน์ในระยะยาวของโครงการ ยังครอบคลุมถึงการลดจำนวนประชากรที่มีภาวะแคระแกร็น และการเสริมกำลังแรงงานของประเทศ
แม้รัฐบาลอินโดนีเซีย จัดสรรงบประมาณ 71 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 152,000 ล้านบาท) สำหรับการดำเนินโครงการครั้งแรกในปีนี้ ทว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 830,000 ล้านบาท) หากรัฐบาลต้องการบรรลุเป้าหมายจัดหาอาหารให้แก่ประชาชน 82.9 ล้านคน ภายในปี 2572
อนึ่ง พล.ท.ปราโบโว มองโลกในแง่ดีว่า โครงการอาหารฟรีนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างรายได้เลี้ยงชีพให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร
ตามข้อมูลจากสำนักงานโภชนาการแห่งชาติอินโดนีเซีย โครงการวันแรกมีการเปิดโรงครัวอย่างน้อย 190 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับความสนับสนุนจากองทัพอินโดนีเซีย และภาคเอกชนที่เข้าร่วม ซึ่งอาหารแต่ละชุดมีราคา 10,000 รูเปียห์ (ราว 21.36 บาท) ลดลงจาก 15,000 รูเปียห์ (ราว 32.04 บาท) เนื่องจากข้อจำกัดทางการเงิน และสิ่งที่น่าสังเกตคือ เมนูอาหารไม่มี “นม” รวมอยู่ด้วย เพราะผู้จัดหาอาหาร “ยังไม่พร้อม”
กระนั้น ความกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านงบประมาณยังคงมีอยู่ โดยบรรดาผู้สันทัดกรณีด้านโภชนาการกล่าวเตือนว่า อาหารแต่ละมื้อที่มีราคาต่ำ อาจจำกัดประสิทธิภาพของโครงการได้
ด้านนายแอนนิส คาทูร์ อาดี นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยแอร์ลังกา ในจังหวัดชวาตะวันออก กล่าวว่า การหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยเงินเพียง 10,000 รูเปียห์นั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในเมืองใหญ่ เนื่องจากวัตถุสำหรับการปรุงอาหาร มีราคาค่อนข้างแพง
ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) เผยให้เห็นว่า มื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในอินโดนีเซีย มีราคาประมาณ 4.7 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 162 บาท) ในปี 2564 เมื่อเทียบกับราคาในเวียดนามและสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4.2 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 145 บาท) และ 3.1 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 107 บาท) ตามลำดับ
ขณะที่ นายไนลุล ฮุดา นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์การศึกษาเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย ซึ่งเป็นคลังสมองด้านนโยบายที่ตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ตา กล่าวว่า โครงการมื้ออาหารฟรี อาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ด้วยการสร้างความต้องการในภาคส่วนอาหาร
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า โครงการริเริ่มดังกล่าวก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้การขาดดุลของอินโดนีเซีย เกินเพดานที่กฎหมายกำหนดไว้ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และเมื่อการขาดดุลงบประมาณของรัฐแตะ 3% มันอาจจะส่งผลเสียต่อรัฐบาล เนื่องจากการละเมิดกฎหมายการเงินของประเทศ ซึ่งอาจทำให้การลงทุนจากต่างประเทศลดลง.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP