ต่อมา แกงค์คอลเซนเตอร์ก็ระบาดหนัก เหมือนจะรู้สึกได้ว่าตั้งแต่หลังโควิดนี่มีเยอะขึ้น หลากหลายรูปแบบขึ้น ถ้ามาทางโทรศัพท์ก็มักจะได้รับสายจากเบอร์แปลกๆ บอกว่า มาจากธนาคารบ้างล่ะ ปปง.บ้างล่ะ บัญชีของคุณกำลังทำผิดกฎหมาย หรือไม่รู้มันไปซื้อข้อมูลส่วนตัวเรามาจากไหน บอกได้หมด หาได้กระทั่งเลขบัตรประชาชน บอกว่าเราถูกเอาข้อมูลไปเปิดบัญชีผิดกฎหมาย หรืออ้างว่าทำผิดอะไรก็ตามแต่ แล้วทำตอแหลวีดิโอคอลกับตำรวจเก๊ ให้โอนเงินไปให้ตรวจสอบที่บัญชีนี้ๆ ซึ่งเป็นบัญชีม้า มันพัฒนาตัวเองจากบัญชีบุคคลไปเป็นนิติบุคคลด้วย ไม่ทราบแอบอ้างจดทะเบียนกันอย่างไร เอาที่อยู่คนอื่นไปจดได้อย่างไร มีกระบวนการใช้บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้านปลอมหรือไม่ ?  ให้ดูข้อมูลนิติบุคคลที่มันอ้างจาก https://www.checkgon.com/ ว่า ของจริงหรือไม่

.. หลังๆ มุขโทรมานี้มีคนจับได้เยอะแล้ว พอโดนจับได้มิจฉาชีพก็ด่าปากดีใส่ ..ก็มีคนเล่าๆ อยู่ว่า “บางคนไม่ได้ถูกหลอกไปหรอกนะ มันไปเองเพราะเงินดี” ถึงว่า ถ้าถูกลักพาตัวหรือค้ามนุษย์ไม่น่าจะปากดี ว่ากันว่า พวกที่ไปเองโดยสมัครใจจะไปทางเขมรเสียมากกว่า และยังมีประเภทเวลาคนขายของออนไลน์ ก็จะมีทักมาว่า สนใจ แต่มีพี่สาว พี่ชาย ญาติ ฯลฯ สนใจด้วย ให้ช่วยแอดไลน์คุย แล้วทีนี้ก็ไม่ทราบว่าจะส่งลิงค์อะไรมาดูดเงิน ดูดข้อมูลบ้าง  

เรื่องการปราบปรามคอลเซนเตอร์ นอกจากหลอกลวงแล้วยังมีประเด็นค้ามนุษย์ ก็เห็นกดดันกันไปมา โยนกันไปมาระหว่างไทย จีน เมียนมา ฝั่งจีนก็กดดันให้ไทยจัดการเด็ดขาด ไทยก็ว่ามันอยู่ในเขตเมียนมา เมียนมาก็ว่ามันอยู่ในเขตว้า รัฐบาลกลางเข้าไปจัดการไม่ได้ ข่าวว่าเหิมเกริมขนาดต่อไฟฟ้าจากไทยไปใช้เป็นพลังงานหลักในสถานประกอบการมิจฉาชีพ โดยต่อไปที่แม่สอดกับแม่สาย เรื่องนี้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( กฟภ.) ขอเวลาตรวจสอบอยู่ว่า ผู้ซื้อไฟฟ้าเป็นกลุ่มที่ทำผิดกฎหมายหรือไม่ก่อนจะดำเนินการตัดไฟ และต้องให้ผู้ประกอบการคลื่นตัดคลื่นมือถือด้วย

มีคนบ่นคิดถึงอดีตนายกฯแม้ว นายทักษิณ ชินวัตร ว่า “ถ้ามีอำนาจเต็มคงจัดการเรื่องนี้เต็มที่” เหมือนสมัยนั้นที่ประกาศสงครามกับยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล เรื่องการปราบปรามภัยสังคมนี่ถ้าทำดีๆ ไม่ลูบหน้าปะจมูก ไม่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกคะแนนนิยมรัฐบาลได้อักโข และทำให้ประเทศไทยไม่ต้องสูญเสียเงินออกนอกระบบเศรษฐกิจน่าจะหลักหมื่นล้าน “นายกฯอิ๊งค์”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็เหมือนฟังนโยบายพ่อที่ว่า“คอลเซนเตอร์ต้องหมดในปีนี้” แล้วมาดำเนินการออกเป็น พ.ร.ก.เพื่อบังคับใช้ทันทีแล้วค่อยผ่านสภา มติ ครม.วันที่ 28 ม.ค. ก็อนุมัติแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการและป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาขอดูถ้อยคำอีกหน่อยก่อนใช้เดือน ก.พ.

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หรือกฎหมายไซเบอร์  แถลงสาระสำคัญของ พ.ร.ก.  คือ 1.กำหนดความรับผิดชอบร่วมของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ กำหนดให้ผู้ให้บริการต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น 2.กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องมีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที 3.การเร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นการเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชี ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เพื่อให้สามารถตรวจสอบ และคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้โดยเร็ว

 4.เพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์มโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบในการป้องกัน และตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระบบของตัวเอง 5.เพิ่มบทลงโทษสำหรับการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลจะต้องมีบทลงโทษที่เหมาะสม ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้มีการกำหนดโทษเพิ่มเติม 2 ลักษณะ คือ เปิดเผยแบบส่งต่อ และเปิดเผยแบบขายข้อมูล โทษจะหนักเบาต่างกันโทษสูงสุดปรับ 5 ล้านบาทต่อหนึ่งกระทง โทษจำคุก 5 ปี ทั้งนี้ กฎหมายออกมาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ลดความเสียหายให้พี่น้องประชาชน

 การดึงเงินคืนให้ผู้เสียหายจากเดิมที่ใช้เวลาปีกว่าๆ จะเหลือ 6 เดือนหรือไม่เกิน 1 ปี หรืออาจจะคืนได้ทันทีในการดึงเงินคืนกลับมาให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะหากผู้เสียหายยืนยันข้อมูลได้ตรงกับบัญชีก็จะคืนได้ทันที จากเดิมที่ต้องผ่านกระบวนการศาล และมีการฟ้องร้องเสียก่อน  ถ้าธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการมือถือปฏิบัติตามข้อกำหนดครบถ้วน ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ อย่างเช่น กรณีธนาคารหากมีคำสั่งให้ปิดบัญชีต้องสงสัย และให้ส่งบัญชีเอชอาร์ 03 ให้กับ ปปง. แต่ไม่ส่งภายในกี่วันตามที่กฎหมายกำหนด และบัญชีดังกล่าวถูกนำไปก่ออาชญากรรม ธนาคารก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

ผู้ให้บริการมือถือหากยังส่ง เอสเอ็มเอสแนบลิงค์ ไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ส่ง และเกิดมีการส่งลิงค์ดูดเงิน หรือ หลอกลวง โดยไม่มีการคัดกรอง ก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบ  ในส่วนของแพลตฟอร์มต่าง ๆ หากมีการข้อมูล หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ หรือโฆษณาที่ผิดกฎหมาย  ถ้าไม่ปิดกั้น หรือนำลงจากแพลตฟอร์มจนทำเกิดความเสียหาย ก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้น่าสนใจอยู่ หมายถึงว่า “การโพสต์ลิงค์ที่นำไปสู่การกระทำมิจฉาชีพ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” คนโพสต์หรือเจ้าของแพลตฟอร์ม อย่างถ้าเกิดเป็นเฟซบุ๊ก ไอจี ติ๊กต่อก X ไลน์ พวกนี้จะมีการสื่อสารไปยังผู้บริหารจัดการแพลตฟอร์มอย่างไรให้จัดการ เฟซบุ๊กนั้นกับบางคำล่ะบล็อกเร็วนัก แล้วถ้ามาแปะลิงค์ จะจัดการเร็วหรือไม่

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ก็เพิ่งมี “เหน็ดไอดอล”โดนจัดการไป  ชยธร หรือออย แสงศิลป์ ศิลปินฉายา “ราชารถแห่”มาโดนดำเนินคดีความผิดฐาน ช่วยประกาศ โฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันในการเล่นซึ่งไม่ได้รับอนุญาต”  หลังตรวจสอบพบว่า ออย แสงศิลป์โพสต์โปรโมทเว็บพนันออนไลน์ การแนบลิงค์เว็บพนันจะเข้าในความผิดตามพ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478  การแนบลิงค์ 1 ครั้ง จะผิดต่างกรรมต่างวาระ ผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่าในห้วงที่ได้แนบลิงค์ไปไม่ค่อยมีเงินจึงโพสต์แนบลิงค์การพนัน ศาลแขวงดอนเมืองมีคำพิพากษาสั่งจำคุก 1 ปี  รับสารภาพ ลดโทษเหลือ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ศาลเห็นว่าเป็นการกระทำผิดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้แพร่หลาย ถือเป็นเหตุร้ายแรง จึงไม่รอลงอาญา จำคุก 6 เดือน ..เช่นนี้ถ้าต่อไปใครๆ ก็แจ้งความได้ คงมี“เหน็ดไอดอล”ติดตะรางเยอะ

อย่างไรก็ตาม ต้องแยกก่อนว่า คอลเซนเตอร์ก็เรื่อง พนันออนไลน์ก็เรื่อง… กรณีพนันออนไลน์เขากำลังจะแก้ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 อยู่ เจ้าภาพต้องเป็นมหาดไทยกับดีอี ยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เหมือนกับว่า เพิ่มโทษหนักขึ้น ตัวแปรว่ากฎหมายจะเป็นอย่างไรต้องดูว่า ที่สุดแล้วจะเอาการพนันออนไลน์ขึ้นบนดินหรือไม่ ถ้าเอาขึ้นมาก็เพิ่มโทษให้พวกทำใต้ดินให้ระเบิดระเบ้อไปเลย ทั้งตะรางทั้งยึดทรัพย์  ..แต่ก็ยังเถียงกันไม่จบ บ้างก็ว่าจะมอมเมาสังคม บ้างก็ว่าถ้าเอาขึ้นมาบนดินก็ควบคุมได้แบบตอนรัฐบาลแม้วทำหวยบนดิน เรื่องบ่อนออนไลน์บนดิน ก็ยังเป็นคนละเรื่องกับกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์อีก นับว่ารัฐบาลนี้มีประเด็นท้าทายศีลธรรมให้เถียงกันเรื่อยๆ ..สักพักก็คงไปสู่ประเด็นเสรีค้าประเวณี เพิ่มโทษคดียาเสพติด      

เอาเป็นว่า “ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำกัน” การเอาอะไรใต้ดินขึ้นบนดิน ถ้าดีต่อการควบคุมให้อยู่ในร่องในรอย ดีต่อระบบเศรษฐกิจก็น่าสนใจ อย่างที่บอกไปว่า ขนาดมาเลเซียเมืองมุสลิมที่เคร่งกว่าเมืองพุทธไทยเยอะ เขายังมีเกนติ้งเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพลกซ์ชื่อดัง สส.,สว.ไปดูงานเมืองนอกตอนปิดสมัยประชุมสภา ก็ไปศึกษาโมเดลต่างประเทศมาเปิดเผยกันบ้าง ไม่ใช่แห่กันไปโน่นนี่แต่ไปทำไม ได้อะไรประชาชนยังไม่รู้ 

ส่วนเรื่องคอลเซนเตอร์ ก็มีโอเปอเรเตอร์ หรือผู้ให้บริการคลื่นขานรับ  นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า  ทรูได้ลงทุนพัฒนาระบบและนำ AI  ขั้นสูงยกระดับภารกิจรักษาความปลอดภัยในชื่อ “ทรู ไซเบอร์เซฟ” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ทั้งจากลิงค์แปลกปลอม เอาเอ็มเอส หลอกลวง การกรองสายเรียกเข้า โดยนำร่องให้บริการระบบปิดกั้นและแจ้งเตือนการเข้าถึงลิงค์แปลกปลอม (เว็บ/ ยูอาร์แอล โพเทคชั่น) ทั้งที่เป็นแบล็คลิสต์ จากภาครัฐ และลิงค์ที่มีความเสี่ยง รวมเบื้องต้นกว่า 100,000 ลิงค์ และแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่มีความสุ่มเสี่ยงมากกว่า 7 ล้านสาย 

จากสถิติมากกว่า 98% ที่มีการแจ้งเวลามีสายเรียกเข้าแล้วลูกค้าเรากดปฏิเสธ แต่ก็ยังเหลืออีก 2% ที่ลูกค้าก็กดรับ แต่หากให้ค่ายมือถือมีการรับผิดด้วยนั้น ก็คงต้องพิสูจน์ในหลักฐานไปว่าเป็นที่ระบบเรามีการรั่วไหลหรือไม่ อย่างไรก็ตามในเดือน มี.ค. จะดำเนินการในอย่างเต็มระบบทุกรูปแบบในเฟส 2 โดยจะบล็อกเลขหมายจากต้นทางทันที หากเบอร์นั้นถูกระบุว่าเบอร์จากมิจฉาชีพ จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเบอร์มิจฉาชีพในถังข้อมูลเดียวกับทางหน่วยงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์  อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ขอให้ประชาชนอย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลผ่านการกดลิงก์ แอดไลน์ หรือตอบกลับเอสเอ็มเอส รวมถึงงดให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับแหล่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หากลูกค้ารับสายที่เข้าข่ายมิจฉาชีพ เมื่อวางสาย สามารถกด *1185# โทรออก ภายใน 5 นาที ระบบจะส่งเบอร์ล่าสุดที่รับสายไปเพื่อตรวจสอบและบล็อกทันที หรือ หากได้รับ เอสเอ็มเอส ผิดปกติ ก็สามารถโทร.แจ้งผ่านสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบทันที

อีกทั้งช่วงวันที่ 5-8 ก.พ.นี้ “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร จะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และจะใช้โอกาสนี้พูดคุยกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ด้วย จีนเองก็อยากได้ความร่วมมือจากไทยเช่นกัน ยิ่งเป็นที่จับตาว่า เรื่องนี้จีนจะจัดการอย่างไร เพราะทุนไม่โปร่งใสบางเจ้าก็คนจีนนั่นแหละมาหากินในไทย ลองทำในจีนดู โทษหนักและเขาไม่สนใจพวกนักสิทธิมนุษยชนอะไรด้วยเวลาจะประหาร

ปราบหลอกลวงออนไลน์นี่เป็นวาระแห่งชาติ ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้ อาจเป็นตัวแปรใหญ่ในการเลือกตั้ง.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่