เทศกาลสงกรานต์เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” มาหลายปี เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยตั้งแต่ปี 2548 มาถึงปี 2567 เรากลายเป็นสังคมผู้สูงวัยสมบูรณ์แบบ นั่นคือ มีคนที่อายุเกินวัยเกษียณ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 20% ของประชากร 60-70 ล้านคน นั่นคือ จะมีคนแก่ราว 12-14 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ด้วยระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้นมากกับจำนวนเด็กเกิดน้อยลง ๆ สังคมผู้สูงอายุเกิดทั่วโลกในประเทศพัฒนา ไม่ใช่แต่ไทยเรา
ปี 2567 ที่ผ่านมา จึงเป็นปีแรกในรอบ 70 ปีที่เด็กเกิดน้อยกว่าผู้เสียชีวิต โดยเกิดราว 5 แสนคน จากเดิมปีละกว่า 1 ล้านคน และตั้งแต่ปี 2517 เด็กเกิดน้อยลงต่อเนื่อง จนต่ำกว่า 6 แสนคนตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
รัฐบาลที่ผ่านมา หมอชลน่าน ศรีแก้ว ครั้งเป็น รมว.สาธารณสุข ถึงขนาดออกนโยบายชักชวนคนวัยเจริญพันธุ์ “ปั๊มลูกเพื่อชาติ” มีมาตรการช่วยเงินค่าเลี้ยงดูทั้งแม่และเด็ก ลดภาษีให้ เป็นต้น แต่ให้รักชาติด้วยวิธีนี้ คงได้ผลน้อย หนึ่งคือ ค่านิยม เรื่องมีลูกเปลี่ยนไปมาก นอกจากปัญหาเศรษฐกิจ หากินฝืดเคือง เงินเดือนไม่พอใช้ ตัวคนเดียวยังไม่รอด มีลูกจะขนาดไหน ค่าเรียนโรงเรียนดีๆฟังแล้วแทบตกเก้าอี้ อะไรจะแพงโหดขนาดนี้ ยังเรื่องสภาพการเมือง สภาพสังคมเร่งรีบ สภาพเมือง แค่เดินทางแต่ละวันก็แสนเหนื่อย เครียด หมดอารมณ์ปั๊มลูกกันแล้ว เรื่องจริงนะ
สังคมสูงวัย ทำให้เรามี กรมผู้สูงอายุ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) แต่เอ๊ะ ใครรู้มีกรมนี้อยู่บ้าง ก็นะ แม้แต่เจ้ากระทรวง พม. ถามจริ๊ง ใครนึกชื่อออกบ้าง แผนงานผู้สูงวัย ไม่ต้องพูดถึง มีกี่โมง
แล้วประเทศไหนคนแก่มาก คนวัยทำงานก็น้อยลง ผลคือ รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง คนแก่ไม่มีรายได้ คนแก่ไทย 80-90% มั้ง อยู่ได้ด้วย “เบี้ยคนชรา” 600-700-800-900 บาท ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยังดีมี 30 บาทรักษาทุกโรค เจ็บป่วยพอได้อาศัย คุณูปการ ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำโครงการนี้ไว้
อีกประการ คนแก่ยิ่งมาก รัฐยิ่งต้องหาเงินมาจ่ายเป็นสวัสดิการมากขึ้นตาม จะอาศัยให้ลูกหลานเลี้ยงก็อย่างที่บอก ตัวเองยังไม่รอด เด็กเกิดน้อยก็ทำให้วัยทำงานน้อยลง จนต้องอาศัยแรงงานต่างชาติ ไม่งั้นเศรษฐกิจไทยอาจไม่รอด โรงเรียนก็มีเด็กน้อยลงเรื่อย ๆ ขนาดเล็กไม่ยุบรวมก็ต้องปิด ขนาดใหญ่ เคยสอบแข่งเอาเป็นเอาตาย ล่าสุดที่เป็นข่าว คือ รร.ดังแห่งหนึ่งรับทุกคนที่ยื่นสมัครมา เพราะมีห้องมากกว่าเด็ก บางภาควิชาในมหาวิทยาลัยก็ต้องยุบเช่นกัน
มีข้อมูลว่าอีก 40-50 ปี ไทยจะเหลือประชากรแค่ครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน จาก 60-70 ล้านจะเหลือ 30-40 ล้านคน ก็เป็นเรื่องอนาคต ใครมีหน้าที่แก้ ก็แก้ไป เอ้อ เราคงไปอยู่ภพอื่นแล้ว
เมื่อพูดถึงสังคมสูงวัย ก็ต้องพูดถึง “ญี่ปุ่น” ที่เป็นสังคมสูงอายุนานแล้ว จึงมีประสบการณ์รับมือมานานเช่นกัน ปัญหาภาพรวมไม่ต่างจากไทย แต่ที่น่าเศร้าใจ คือ มีข่าวบ่อย ๆ ว่า คนแก่นอนเสียชีวิตที่บ้านนานเป็นเดือน ๆ กว่าจะมีคนไปพบ เพราะไร้ลูกหลานนั่นเอง อนาคตไทยก็คงไม่ต่าง รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามหาทางแก้ทุกวัน ขณะที่เค้ารวยกว่าเราแยะ สวัสดิการด้านต่าง ๆ จึงต่างกับเรามาก เรียกว่ามี ความกินดี–อยู่ดี มากกว่าคนแก่ไทยเยอะเลย
นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องคือ ทำยังไงไม่ให้คนแก่โดดเดี่ยว รู้สึกไร้ค่า ที่ญี่ปุ่นเราจะเห็น คุณตา คุณยาย ที่สุขภาพดี ยังทำงานอยู่ เข้าไปสนามบิน ก็เห็นคนแก่มาจัดคิวนักท่องเที่ยวเข้าช่องตรวจคนเข้าเมือง ช่วยเอาพาสปอร์ตเสียบเครื่อง เป็นต้น หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟ พนักงานต้อนรับในห้าง ล่าสุด เราไปดูงาน “เวนเจอร์แบงก์” ที่เกาะคิวชูกับธนาคารกรุงไทย เห็นผู้สูงวัยออกมาโบกธงต้อนรับ ร่วมถ่ายรูป ร้องเพลง แสดงละครพื้นบ้าน วีรบุรุษที่สังหารมังกร แล้วตั้งใจมาก คุณตา คุณยาย แสดงจบรอบแล้ว ยังฝึกซ้อมอย่างตั้งใจ น่าประทับใจมาก แม้ทำพาร์ตไทม์ก็ตาม
คงเพราะรัฐบาลเค้ารู้ว่า การมีงานทำ นอกจากทำให้คนแก่พอมีรายได้เลี้ยงตัวแล้ว ยังทำให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ไม่โดดเดี่ยว ไม่สิ้นหวัง มีชีวิตชีวา ถ้ารัฐบาลนี้จะมีนโยบายให้บริษัทห้างร้านใหญ่ ๆ รับคนแก่ที่สุขภาพดี เข้าทำงานเหมือนที่ให้ผู้พิการมีโอกาสได้ทำงาน ก็คงจะดีมาก
นี่คือ วิธีทำให้ผู้สูงวัย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี สมกับที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หาเสียงไว้เลย.
………………………………………………….
ดาวประกายพรึก
อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…